วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2551

เด็กอายุต่ำกว่า7ขวบไม่ควรกลืนกินยาสีฟัน


มีหลายคนสงสัยว่า ทำไมบนกล่องยาสีฟัน และหลอดยาสีฟัน ไม่ว่าจะเป็นยาสีฟันสำหรับเด็ก หรือผู้ใหญ่ จึงมีคำเตือนว่า “เด็กอายุต่ำกว่า 7 ปี ไม่ควรกินหรือกลืน”

ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ รองศาสตราจารย์ทันตแพทย์หญิง วัชราภรณ์ ทัศจันทร์ คณบดีคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า ยาสีฟันที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาด มีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิด คือ ชนิดครีมขาว ชนิดเจล และชนิดผง ที่นิยมใช้กัน คือ ชนิดครีมขาว

วัตถุประสงค์ของการใช้ยาสีฟัน เพื่อป้องกันฟันผุ กำจัดคราบจุลินทรีย์ ทำให้แปรงฟันสนุกและรู้สึกปากสะอาดมากยิ่งขึ้น

นับตั้งแต่มียาสีฟันผสมฟลูออไรด์ ปัญหาฟันผุก็ลดลงตามลำดับ โดยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ มี 2 ระดับความเข้มข้น คือ มีฟลูออไรด์ต่ำกว่า 500 ส่วนในล้านส่วน (พีพีเอ็ม) เหมาะสำหรับเด็ก เพราะเกรงว่าเด็กจะได้รับฟลูออไรด์มากจนเกินไป หรือถ้าเด็กกลืนกินจะได้กลืนกินในปริมาณน้อย และฟลูออไรด์สูงประมาณ 900-1,000 ส่วนในล้านส่วน สำหรับผู้ใหญ่

ในเด็กอายุเกิน 6 ขวบไปแล้ว จะให้ใช้ยาสีฟันสำหรับผู้ใหญ่ เนื่องจากควบคุมการกลืนได้ อีกทั้งยาสีฟันจะมีปริมาณฟลูออไรด์มากกว่า และให้ผลต่อการป้องกันฟันผุได้มากกว่า

ที่หลายคนสงสัยคำเตือนว่า “เด็กอายุต่ำกว่า 7 ปี ไม่ควรกินหรือกลืน” นั้น อย่างที่บอกในยาสีฟันมีส่วนผสมของฟลูออไรด์ การกลืนกินบ่อย ๆ อาจทำให้เด็กได้รับฟลูออไรด์มากจนเกินไป จนทำให้ฟันตกกระได้ ในขณะที่ฟันแท้กำลังสร้างตัว นอกจากนี้ในยาสีฟันยังมีส่วนประกอบอื่น ๆ เช่น สารกันบูด สารขัดฟัน สารช่วยให้เกิดฟอง สารยึดเกาะ สารปรุงรสและกลิ่น สารคงความชื้น สารแต่งสี อาจทำให้เกิดอันตราย หรือแพ้ยาสีฟันได้ ดังนั้นจึงไม่ควรกลืนกินเข้าไป หลังแปรงฟันควรจะบ้วนออกให้หมด

แม้ว่ายาสีฟันส่วนใหญ่จะผ่านการสอบแล้วว่ามีความปลอดภัย แต่สิ่งที่ยังเป็นกังวล คือ ยาสีฟันมีกลิ่นหอม รสหวานอร่อย เด็กบางคนอาจกลืนกินเข้าไป เพราะฉะนั้นในเด็กอายุไม่ถึง 2 ขวบ ในการแปรงฟันจะใช้ยาสีฟันเพียงนิดเดียว แค่แตะแปรงสีฟัน หรือเด็กโตกว่านั้น 3 ขวบ อาจใช้ยาสีฟันแค่เม็ดถั่วเขียว

โดยหลักเด็กอายุต่ำกว่า 7 ขวบ พ่อแม่ต้องเป็นคนบีบยาสีฟันให้ และต้องเป็นคนแปรงฟันให้ ส่วนเด็กอายุ 7-11 ขวบ พ่อแม่ควรดูแลอย่างใกล้ชิด ว่าแปรงฟันสะอาด ทั่วถึงหรือไม่

ถ้าเด็กใช้ยาสีฟันสำหรับผู้ใหญ่จะเกิดผลเสียอย่างไร? รองศาสตราจารย์ทันตแพทย์หญิงวัชราภรณ์ กล่าวว่า โดยหลักไม่ควรใช้ เว้นแต่อายุ 6 ขวบขึ้นไป เพราะจะเกิดผลเสียอย่างที่บอก คือ การกลืนกินยาสีฟัน ทำให้ได้รับปริมาณ ฟลูออไรด์มากจนเกินไป เพราะในชีวิตประจำวันเด็กอาจได้รับฟลูออไรด์จากทางอื่นด้วย เช่น การรับประทานอาหาร ยาเม็ดฟลูออไรด์

จะแก้ปัญหาเด็กที่กลืนกินยาสีฟันอย่างไร? รองศาสตราจารย์ทันตแพทย์หญิงวัชราภรณ์ กล่าวว่า อาจจะใช้ยาสีฟันสำหรับเด็กที่ไม่มีฟลูออไรด์เป็นส่วนผสม หรือไม่ใช้ยาสีฟันเลยก็ได้ เพราะการแปรงฟันธรรมดาด้วยน้ำเปล่าอย่างถูกวิธีหลังอาหารอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ก็สามารถทำความสะอาดซอกฟันและเหงือกให้สะอาด ป้อง กันฟันผุได้ ส่วนการใช้ยาสีฟันก็เพื่อช่วยให้การแปรงฟันสะดวก รสชาติดีขึ้นเท่านั้น จะเห็นได้ว่า ผู้ใหญ่บางคนยังแปรงฟันโดยใช้เกลืออยู่เลย

อันตรายจากยาสีฟันมีหรือไม่? รองศาสตราจารย์ทันตแพทย์หญิงวัชราภรณ์ กล่าวว่า ในบางคนอาจเกิดการแพ้ได้ เช่น ทำให้ปากแห้ง เป็นแผล ก็ต้องเปลี่ยนยาสีฟันไปใช้ยี่ห้ออื่น ส่วนใหญ่จะดีขึ้น.

นวพรรษ บุญชาญ-สัมภาษณ์

วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

จิตวิทยาการเลี้ยงเด็ก



บทนำ
ความรู้ทางกุมารเวชศาสตร์ได้เจริญขึ้นมาก และคงจะมากขึ้นตามลำดับในวันข้างหน้า สุขภาพ กายของเด็กไทยก็ได้รับการดูแลดีขึ้นตามไปด้วย จากความสามารถของกุมารแพทย์ แต่ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ สำคัญพอๆกับสุขภาพกาย คือ สุขภาพจิตของเด็ก เพราะผู้ที่สุขภาพดีควรจะดีทั้งกายและใจ กายและใจ ไม่สามารถแยกจากกันได้ดังที่เป็นที่ทราบดีอยู่แล้วว่าภาวะจิตใจที่ไม่เป็นสุขย่อมส่งผลกระทบถึงสุขภาพกาย ดังเห็นได้ชัดเจนในกลุ่มโรค Psychophysiologic disorders ซึ่งปัจจุบันทางสหรัฐอเมริกาได้ เรียกโรคกลุ่มนี้ว่า Psychological factor affecting physical conditions ซึ่งยิ่งเป็นการ ชี้ให้เห็นชัดถึงอาการทางกายที่เกิดจากภาวะจิตใจเป็นเหตุ เนื่องจากเด็กต้องอาศัยการเลี้ยงดูของผู้ใหญ่เป็นเวลานานหลายปี จึงจะสามารถช่วยตนเอง และพึ่งตนเองได้ ฉะนั้นการเลี้ยงดูและการอบรมเด็กจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งในการจะทำให้เด็กมีสุขภาพ กายและใจดีเต็มที่ตามศักยภาพสูงสุด(maximum potential) ของเด็กแต่ละคน การที่จะเป็นเช่นนี้ได้

พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูเด็กต้องสามารถเลี้ยงดูและอบรมเด็กได้อย่างเหมาะสมโดยอาศัยประสบการณ์ของตนเอง และการแสวงหาความรู้เพิ่มเติมจากการอ่านหนังสือหรือจากผู้รู้ กุมารแพทย์เป็นผู้หนึ่งสามารถ ที่จะมีบทบาทได้อย่างมากในการส่งเสริมสุขภาพจิตด้วยการให้คำแนะนำและปรึกษา เพราะกุมารแพทย์ มักจะเป็นผู้ที่พ่อแม่ผู้เลี้ยงดูเด็กให้ความเชื่อถือและมาพบอยู่แล้วเสมอๆด้วยปัญหาทางกาย เช่น เป็นหวัด ตัวร้อน หรือมาสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้เด็ก

จิตวิทยาการเลี้ยงดูเด็ก

(Psychological aspect of child rearing) สิ่งจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์นั้น แบ่งได้เป็น ๒ พวกใหญ่ๆคือ สิ่งจำเป็นสำหรับร่างกาย(physical needs) เช่น อาการ อากาศสำหรับหายใจ อุณหภูมิที่เหมาะสม เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย การรักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วย เป็นต้น นอกจากนี้แล้วมนุษย์ยังมีสิ่งจำเป็น สำหรับจิตใจ (psychological needs)ที่จะทำให้มนุษย์นั้นอยู่อย่างปกติสุข สามารถเป็นคนที่มีคุณภาพ คือ สามารถประกอบการงานให้เป็นประโยชน์กับตนเอง ครอบครัว และสังคม ถ้าเด็กได้รับแต่สิ่งจำเป็นสำหรับร่างกายอย่างครบบริบูรณ์ แต่ขาดสิ่งจำเป็นสำหรับจิตใจ เราก็อาจได้เด็กที่รูปร่างแข็งแรง สูงใหญ่ตามเกณฑ์มาตรฐานทุกประการ แต่อาจมีท่าทางไม่เป็นสุข หงอยเหงา ไม่ร่าเริงแจ่มใสเชื่องซึม หรือมีพฤติกรรมก้าวร้าว ชอบทำลาย หรือไม่สามารถรับผิดชอบได้ตามวัย เช่น ไม่สามารถเรียนหนังสือได้ ฉะนั้นควบคู่กับแนะนำว่าเด็กอายุเท่าใด ต้องให้นมแบบไหน อาหารเสริมอะไรฉีดวัคซีนอะไร ก็ควรจะให้ความรู้พ่อแม่และผู้เลี้ยงดูเด็กอายุเท่าใดมีลักษณะนิสัยตามธรรมชาติอย่างไร และเด็กต้องการตอบสนองต่อความต้องการทางจิตใจอย่างไรถึงจะเหมาะสมเพื่อทำสุขภาพจิตดีควบคู่ กับการมีสุขภาพกายดี

ความต้องการด้านจิตใจของเด็ก

ความต้องการด้านจิตใจของเด็กนั้นมีความแตกต่างกันไปบ้างตามวัยของเด็ก แต่พอจะสรุป ได้กว้างๆ ว่า สิ่งต่อไปนี้มีความจำเป็น และเป็นที่ต้องการสำหรับเด็กทุกคน คือ

1) ความรักความอบอุ่น เด็กรู้สึกอยากให้พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูรักตน รู้สึกว่าตนเองเป็นที่ ต้องการ มีค่าสำหรับพ่อแม่ รู้สึกว่าตนเองเป็นที่ยอมรับ เด็กไม่ควรรู้สึกว่าพ่อแม่รังเกียจตน ไม่ชอบลำเอียง ปฏิเสธหรือไม่เป็นที่ต้องการ เป็นส่วนเกิน จำใจต้องเลี้ยงดูตน และไม่ควรรู้สึกมีปมด้อยหรือน้อยเนื้อต่ำใจต่างๆ นาๆ เจตคติหรือท่าทีของผู้ใหญ่ที่กล่าวมาข้างต้นนี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อจิตใจของเด็กเกี่ยวกับเจตคติของพ่อแม่ต่อลูก สิ่งที่สำคัญที่จะต้องกล่าวถึง คือ เด็กต้องการความรักอย่างเหมาะสม ไม่ใช่รักมากอย่างไม่มีขอบเขต เช่น ตอมใจทุกอย่างโดยไม่มีเหตุผลจนทำให้กลายเป็นคนตามใจตัวเองตลอดเวลาไม่สามารถอดทนต่อภาวะที่คนปกติธรรมดาควรจะอดทนได้ จนกลายเป็นข้อบกพร่องทางบุคลิกภาพไป

2) การกระตุ้นอย่างเหมาะสม การกระตุ้นพัฒนาการที่เหมาะสมนั้นขึ้นกับวัยของเด็ก เช่น วัยทารกแรกเกิดก็ต้องการ การอุ้ม การสัมผัส การยิ้ม การพูดคุยด้วยเพื่อให้ได้ยินเสียง พอโตขึ้นก็ ต้องการเพิ่มขึ้น เช่น การเล่น การพูดคุย ของเล่นที่เหมาะสมกับวัยก็จะช่วยกระตุ้นได้ดี สำหรับเด็กใน ขวบปีแรก เพื่อกระตุ้นการได้ยิน การใช้สายตา ควรใช้ของเล่นที่เคลื่อนไหวที่มีสีสด และมีเสียงพอโตขึ้นอีกเด็กจะต้องการการกระตุ้นเพื่อลดการเคลื่อนไหว ควรใช้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ เช่น การใช้นิ้วมือการใช้มือเท้า และอื่นๆ การกระตุ้นต่างๆ นี้ผลทางจิตใจที่ได้คือเด็กรู้สึกได้รับความรัก ความสนใจ และที่สำคัญ คือ ได้กระตุ้นความรู้สึกอยากรู้อยากเห็น ความสนใจต่อสิ่งแวดล้อม ความรู้สึกสนุก อยากทดลองอยากลองทำ ทำให้รู้สึกมีความมั่นใจ กล้าแสดงออกตามไปด้วย

3. ความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย (Security and protection)ความรู้สึกมั่งคงปลอดภัยของเด็กได้มาจากสิ่งแวดล้อมรอบข้าง โดยเฉพาะพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ครอบครัวสงบสุข เด็กจะไม่รู้สึกกลัวว่าจะถูกทอดทิ้ง บ่อยครั้งที่พบว่าเด็กมีอาการทางกาย เช่น ปวดหัว ปวดท้องโดยไม่มีโรคทางกายเป็นเหตุแต่กลับสัมพันธ์กับเวลาเด็กเกิดรู้สึกเครียด รู้สึกกลัวที่เห็นพ่อแม่ทะเลาะกันทำร้ายร่างกายกัน หรือกำลังจะหย่าร้างกัน นอกจากนั้นเด็กก็ยังต้องการความรู้สึกว่าผู้ใหญ่สามารถปกป้องตนได้ ไม่ปล่อยให้เกิดอันตรายกับตน เด็กควรได้รับการปกป้องจากอันตรายทางกาย เช่น อุบัติเหตุต่างๆ และควรได้รับการปกป้องไม่ให้รับความกระทบกระเทือนใจอย่างรุนแรง (psychic trauma), เช่น ภาพอุบัติเหตุที่น่าสยดสยองมาก ภาพภัยพิบัติตามธรรมชาติที่ร้ายแรงน่าสะพรึงกลัว ภาพเกี่ยวกับทางเพศที่ไม่เหมาะสมกับวัยของเด็ก และควรเตรียมตัวเตรียมใจให้เด็กสำหรับเหตุการณ์สำคัญๆเช่นการมีน้องใหม่ การผ่าตัดเป็นต้น

4) คำแนะนำและการสนับสนุน (Guidance and support) เด็กต้องการคำแนะนำหรือคำชี้แนะจากผู้ใหญ่ว่าอะไรเป็นอะไร เช่น บทบาทที่เหมาะสมตามเพศของเด็กหญิงหรือเด็กชาย การปฏิบัติตัวในสังคม ค่านิยม ตลอดจนวัฒนธรรมประเพณีต่างๆ และควรให้การสนับสนุนช่วยเหลือใน เรื่องต่างๆ ที่เห็นเหมาะสม เช่น กิจกรรมที่เด็กต้องการจะทำ อาจช่วยด้านการเงินหรือช่วยหาอุปกรณ์

5) ความสม่ำเสมอ และการมีขอบเขต (Consistency and limits) ทั้ง 2 อย่างมีมีความสำคัญที่จะทำให้เด็กเรียนรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรทำได้หรือไม่ได้ ไม่สับสนทั้งความคิดและการปฏิบัติ กฎเกณฑ์ที่ใช้ควรจะมีเหตุผลและมีการปฏิบัติเสมอต้นเสมอปลาย เช่น ไม่ให้ใส่รองเท้าเข้า ในบ้าน เพราะทำให้บ้านสกปรก ก็ควรเป็นเช่นนี้ตลอดไป ไม่ใช่เวลามีเด็กรับใช้ใส่ได้ เวลาแม่ต้องทำ ความสะอาดเองใส่ไม่ได้หรือวันหนึ่งไม่ยอมให้ทำสิ่งหนึ่งแต่พออีกวันทำสิ่งเดียวกันก็ยอมให้ทำได้ สิ่งเหล่านี้อาจเป็นการเตะบอลเล่นในบ้าน การฉีกกระดาษจากหนังสือ การขีดเขียนที่ฝาผนังบ้าน ผู้ใหญ่บางคนไม่ แน่ใจว่าอะไรควรจะห้ามเด็ก อะไรไม่ควรห้าม กลัวจะตามใจมากไป หรือเข้มงวดเกินไปก็ให้ถือหลัก ง่ายๆ ว่ามี 3 อย่างที่เด็กทำไม่ได้แน่นอน คือ

1. การทำร้ายตัวเอง (รวมทั้งการเล่นที่เป็นอันตราย เช่น ของมีคม)

2. การทำร้ายผู้อื่น

3. การทำลายสิ่งของ

6) ให้โอกาสใช้พลังงานในทางสร้างสรรค์ วัยเด็กเป็นวัยที่มีกำลังงานในตัวมาก เด็กต้องได้รับโอกาสให้ใช้พลังงานไปในทางสร้างสรรค์ เช่น การเล่น การออกกำลังกายในเกมกีฬาต่าง ๆ การมีกิจกรรมอื่นๆ ที่เหมาะสม ถ้าผู้ใหญ่ไม่เห็นความสำคัญข้อนี้อาจต้องการให้เด็กอยู่อย่างสงบเรียบร้อย เสมอ อาจทำให้กลายเป็นเด็กเก็บกด ไม่กล้าแสดงออก เชื่องซึมหรือเฉื่อยชา ไม่ร่าเริงแจ่มใส ไม่มี ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ การอบรมเด็ก

(Discipline technique of children)

ผู้ที่เคยเลี้ยงดูเด็ก คงทราบดีทุกคนว่า ไม่ว่าเด็กคนหนึ่งจะเป็นเด็กดีเพียงใดก็ตาม ในบาง ครั้งบางคราวก็ยังอาจมีปัญหาเกี่ยวกับพฤติกรรมเกิดขึ้นได้ ซึ่งผู้ใหญ่จำเป็นต้องมีวิธีการที่จะแก้ไขพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และให้เด็กเรียนรู้พฤติกรรมที่เหมาะสมและสามารถควบคุมตัวเอง ให้มีความ ประพฤติที่สังคมยอมรับได้โดยไม่ต้องอาศัยผู้ใหญ่คอยควบคุมในเวลาต่อมา พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมหรือ พฤติกรรมที่เราไม่ต้องการในเด็กมักได้แก่

- การไม่เชื่อฟังเมื่อห้ามปราม เช่น การปีนป่ายไปบนที่สูง

- การไม่ยอมทำอะไรบางอย่างที่ผู้ใหญ่ต้องการให้ทำ เช่น ทำการบ้าน เก็บของเล่นเข้าที่ ทำงานที่ได้รับมอบหมาย

- พฤติกรรมก้าวร้าว รุนแรง เช่น ตีน้อง ใช้ถ้อยคำหยาบคาย การทำลายสิ่งของเมื่อโกรธ หรือถูกขัดใจ

พ่อแม่จำนวนมากไม่ทราบว่าจะจัดการอย่างไรกับพฤติกรรมเหล่านี้ของลูกถึงจะให้ผลดีกับเด็ก ปัจจุบันความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์มีมากขึ้น แต่พ่อแม่ทั่วไปมักจะยังไม่ได้รับประโยชน์จากความรู้ นี้มีแต่นักวิชาการและผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตเด็กจำนวนหนึ่งเท่านั้น ความรู้ความเข้าใจให้การ อบรมเลี้ยงดูเด็กที่ถูกต้องสมควรได้รับการเผยแพร่ออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ วิธีการตอบสนอง ต่อพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของเด็กทำได้ดังนี้

1. การใช้เหตุผล (Reasoning) การให้เหตุผลอย่างตรงไปตรงมาซึ่งเด็กสามารถเข้าใจ มักจะสามารถแก้ไขพฤติกรรม

ได้ในเด็กยิ่งเล็กการให้เหตุผลต้องแบบง่าย สั้น ไม่พูดยืดยาว เช่น มีดเล่นไม่ได้เพราะจะบาดมือหนู หนูไม่ปีนขึ้นที่สูงเดี๋ยวจะตกลงมาเจ็บ

2. การใช้ท่าทีที่หนักแน่นและจริงจัง (Firmness) เวลาที่ผู้ใหญ่ต้องการให้เด็กทำอะไรแล้วเด็กอิดเอื้อน ไม่ยอมทำ วิธีหนึ่งที่ได้ผลคือต้อง พูดให้หนักแน่นและจริงจังว่าให้ทำเดี๋ยวนี้ อาจต้องใช้ท่าทีประกอบด้วย เช่น ลุกขึ้นจูงมือเด็กให้ไปทำสิ่ง ที่ต้องทำ เช่น เด็กอิดเอือนไม่ยอมทำการบ้านแม้จะพูดเตือนแล้วหลายครั้ง แม่ต้องแสดงให้เห็นว่าแม่ หมายถึงว่าลูกต้องทำการบ้านแล้วโดยบอกด้วยเสียงที่หนักแน่นว่าเอาสมุดการบ้านออกมาแล้วนั่งลงทำ เดี๋ยวนี้เลย ถ้าเด็กไม่ยอมลุกก็ต้องจูงมือไปเอาสมุด ดินสอมานั่งลงให้ทำและเฝ้าให้ทำถ้าจำเป็น

3. การใช้สิ่งทดแทน (Alternative response) เวลาห้ามไม่ให้เด็กทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ควรสอนเด็กไปด้วยว่าสิ่งไหนที่ทำแทนได้ เช่น เด็กเล่นของแหลมอยู่จะเอาจากมือเด็กก็ให้เอาของอื่นที่น่าสนใจกว่ามาให้เด็กแทน ไม่ควรหยิบของแหลมจากมือเด็กเฉยๆ ซึ่งเด็กจะร้องอาละวาดต่อ หรือเห็นเด็กขีดเขียนฝาผนังบ้านอยู่ห้ามไม่ให้ทำเพราะ สกปรกบ้าน ก็ควรหากระดาษมาให้เด็กได้เขียนแทน เป็นต้น

4. ให้สามารถแสดงความคิดเห็นและความรู้สึก (Freedom to discuss ideas andfeelings) ควรให้เด็กรู้สึกว่าเมื่อมีความคิดเห็นอย่างไรก็สามารถพูดออกมาได้อย่างอิสระ หรือมี ความรู้สึกอย่างไรก็สามารถพูดคุยชี้แจงได้ เช่น เด็กอาจต้องการตัดสินใจเองในการเลือกของใช้ส่วนตัว ไม่ใช่แม่เลือกให้ แล้วเด็กต้องใช้ทั้งที่ไม่ชอบไม่ถูกใจ

5. การให้รางวัล (Positive reinforcement) เมื่อเด็กมีพฤติกรรมที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว เพื่อให้พฤติกรรมนั้นเกิดขึ้นอีกไม่หายไป ผู้ใหญ่ควรให้รางวัลสำหรับพฤติกรรมนั้น อาจเป็นการกล่าวชมด้วยวาจา แสดงกิริยาชื่นชมพอใจใน พฤติกรรมนั้น เช่น โอบกอด ลูบหัว ปัญหาคือผู้ใหญ่มักจะละเลยไม่กล่าวคำชมเชยเด็ก เพราะเห็นเป็น พฤติกรรมธรรมดาๆ เช่นเด็กยอมแปรงฟันเอง แต่งตัวเอง แต่จะดุว่าหรือติเตียนเด็กเมื่อเด็กไม่ยอมช่วย ตัวเองการให้รางวัลเด็กอาจให้ได้อีกแบบคือ ให้เมื่อเด็กหยุดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม (Omission training)เช่น กล่าวชมเชย หรือให้รางวัลแบบอื่นเมื่อลูกสองคนเล่นกันด้วยดีไม่ทะเลาะ ไม่ตีกันในช่วงตลอดสองวันที่ผ่านมา

6. การเลิกให้ความสนใจ (Ignoring) เป็นธรรมชาติของเด็กทุกคนที่ต้องการได้รับความสนใจจากผู้อื่น ฉะนั้น เมื่อเด็กมี พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ เราอาจใช้วิธีเลิกให้ความสนใจขณะที่เด็กกำลังกระทำพฤติกรรมนั้น และให้ความสนใจหรือให้รางวัลกับเด็กที่มีพฤติกรรมที่เราต้องการแทน ตัวอย่าง เช่น ลูกคนหนึ่งกินอาหารดี อีกคนไม่ค่อยยอมกินเล่นไปเรื่อยๆ แม่ก็อาจชมคนที่กินอาหารดีแต่เฉยๆ ไม่แสดงความสนใจกับลูกคนที่ไม่ ยอมกินแต่เขี่ยอาหารเล่นอยู่ โดยไม่จำเป็นต้องดุว่า

7. การเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้ใหญ่ให้กับเด็ก (Positive model) ผู้ใหญ่โดยเฉพาะพ่อแม่ควรทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก พฤติกรรมส่วนใหญ่ของมนุษย์ นั้นมาเรียนรู้ภายหลัง ไม่ใช่ถ่ายทอดตามพันธุกรรมอย่างที่หลายๆ คนเข้าใจ เด็กจะเอาอย่างผู้ใหญ่ที่อยู่ ใกล้ชิด โดยดูจากการกระทำของผู้ใหญ่มากกว่าการสั่งสอนด้วยวาจา เช่นพูดสอนว่าการพูดปดเป็นสิ่งไม่ดี ห้ามทำ แต่พอมีคนที่พ่อแม่ไม่ต้องการพบมาพบ ก็ใช้ลูกออกไปบอกว่า พ่อแม่ไม่อยู่บ้าน การกระทำแบบนี้ ก็เท่ากับสอนลูกว่าที่จริงพูดปดได้

8. การลงโทษ (Punishment) โดยทั่วไปจะพยายามไม่ใช้การลงโทษ นอกจากวิธีอื่นๆ ที่กล่าวมาแล้วไม่ได้ผล สิ่งสำคัญที่สุดคือเวลาใช้การทำโทษนี้ผู้ใช้ต้องไม่ใช้ด้วยอารมณ์โกรธ เกลียด ไม่ชอบเด็ก เพราะจะทำให้ เด็กยิ่งต่อต้าน เวลาใช้ควรแสดงให้เด็กเห็นว่าเราต้องการเพียงหยุดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเท่านั้นและ พร้อมที่จะหยุดการลงโทษเมื่อเด็กคิดว่าสามารถควบคุมตัวเองให้ไม่ประพฤติ ไม่เหมาะสมอีก การลงโทษ มีตั้งแต่เบาๆ จนไปถึงระดับที่รุนแรงขึ้น

8.1 การดุว่า การดุว่าด้วยวาจาในเด็กบางคนก็ได้ผลดี สามารถหยุดการกระทำ อันไม่สมควรของเด็ก ควรใช้เมื่อการบอกห้าม และการใช้เหตุผลไม่ได้ผลแล้ว

8.2 แยกเด็กออกไปอยู่ตามลำพัง เช่น เด็กนักเรียนคนหนึ่งคุยมากขณะเรียน รบกวน คนอื่นบ่อยๆ ก็อาจแยกเด็กไปนั่งคนเดียว หันหน้าเข้ามุมห้อง ทำให้เด็กไม่สนุก เบื่อที่เด็กทั่วไปจะไม่ชอบ อย่างมาก

8.3 การปรับ ให้เด็กรับผิดชอบกับของเสียหายที่เด็กทำไป เช่น เด็กคนหนึ่งโกรธแม่ที่ขัดใจ แล้ววิ่งไปถอนต้นไม้ของแม่ที่เพิ่งปลูก จึงให้แม่หักเงินค่าขนมเด็กทีละเล็กละน้อยชดใช้ค่าต้นไม้ ที่ซื้อมา

8.4 การตี การตีอาจทำให้เด็กหยุดประพฤติที่ไม่พึงประสงค์ได้บางครั้ง แต่การใช้ กำลังกับเด็กมีข้อเสียด้วย คือ ถ้าใช้บ่อยๆ จะทำลายความสัมพันธ์ ระหว่าง เด็กและผู้ใหญ่ และเด็กจะ ใช้วิธีรุนแรงและใช้กำลังบ้าง เพราะเอาอย่างผู้ใหญ่และรู้สึกคับข้องใจที่ผู้ใหญ่ใช้วิธีรุนแรงกับตน เช่น อาจไปชกต่อยเพื่อนที่โรงเรียนบ่อยๆ จนเป็นปัญหาเกิดขึ้น

สรุป

จิตวิทยาการเลี้ยงดูและอบรมเด็กนั้นไม่ใช่ของยากจนเกินไป ขอเพียงแต่พ่อแม่ และผู้เกี่ยว

ข้องกับเด็กมองเห็นความสำคัญและความจำเป็นที่จะต้องรู้และนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์เท่านั้น ก็จะ

สามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาทางกายและใจของเด็กได้มาก จึงหวังว่าการพยายามเผยแพร่ความรู้อันนี้

จะเป็นประโยชน์ต่อๆ ไป

http://ppstory.igetweb.com

วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551

พัฒนาการเด็ก



พัฒนาการเด็กเมื่ออายุ 1 เดือน

สบตา

จ้องหน้าแม่
ลูกของท่านทำได้เมื่ออายุ………………เดือน

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย

กินนมแม่อย่างเดียว

ยิ้มแย้ม มองสบตา เล่นพูดคุยกับลูก

เอียงหน้าไปมาช้าๆ ให้ลูกมองตาม

อุ้มบ่อยๆ อุ้มพาดบ่าบ้าง

พัฒนาการของเด็กวัย 2 เดือน

คุยอ้อแอ้ ยิ้ม

ชันคอในท่าคว่ำ
ลูกของท่านทำได้เมื่ออายุ ………………เดือน

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย

กินนมแม่อย่างเดียว

เล่นกับลูกโดยแขวนของสีสด ห่างจากหน้าลูกประมาณ 1 ศอกให้ลูกมองตาม

พูดคุยทำเสียงต่างๆ และร้องเพลง

ให้ลูกนอนคว่ำในที่นอนที่ไม่นุ่มเกินไป

พัฒนาการของเด็กวัย 3 เดือน

ชันคอได้ตรงเมื่ออุ้มนั่ง

ส่งเสียงโต้ตอบ
ลูกของท่านทำได้เมื่ออายุ ………………เดือน

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย

กินนมแม่อย่างเดียว

อุ้มท่านั่ง พูดคุยทำเสียงโต้ตอบกับเด็ก

ให้ลูกนอนเปล หรืออู่ ที่ไม่มืดทึบ

พัฒนาการของเด็กวัย 4 เดือน

ไขว่คว้า

หัวเราะเสียงดัง

ชูคอตั้งขึ้นในท่าคว่ำ
ลูกของท่านทำได้เมื่ออายุ ………………เดือน

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย

กินนมแม่อย่างเดียว

จัดที่ที่ปลอดภัยให้เด็กหัดคว่ำ คืบ

เล่นกับลูกโดยชูของเล่นให้ลูกไขว่คว้า

ชมเชย ให้กำลังใจลูก เมื่อลูกทำได้

พัฒนาการของเด็กวัย 5 เดือน

คืบ

พลิกคว่ำ พลิกหงาย
ลูกของท่านทำได้เมื่ออายุ ………………เดือน

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย

หาของเล่นสีสดชิ้นใหญ่ที่ปลอดภัยให้หยิบ จับ และให้คืบไปหา

พ่อแม่ช่วยกันพูดคุย โต้ตอบ ยิ้มเล่นกับเด็ก

พูดถึงสิ่งที่กำลังทำอยู่กับเด็ก เช่น อาบน้ำ กินข้าว

พัฒนาการของเด็กวัย 6 เดือน


คว้าของมือเดียว

หันหาเสียงเรียกชื่อ

ส่งเสียงต่างๆ โต้ตอบ
ลูกของท่านทำได้เมื่ออายุ ………………เดือน

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย

เวลาพูดให้เรียกชื่อเด็ก

เล่นโยกเยกกับเด็ก

หาของให้จับ

พัฒนาการของเด็กวัย 7 เดือน

นั่งทรงตัวได้เอง

เปลี่ยนสลับมือถือของได้
ลูกของท่านทำได้เมื่ออายุ ………………เดือน

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย

อุ้มน้อยลง ให้เด็กได้คืบและนั่งเล่นเอง โดยมีคุณแม่คอยระวังอยู่ข้างหลัง

ให้เล่นสิ่งที่มีสี และขนาดต่างกัน เช่น ลักษณะผิวเรียบ - หยาบ อ่อน - แข็ง

ให้หยิบจับสิ่งของ เข้า - ออก จากถ้วย หรือกล่อง

พัฒนาการของเด็กวัย 8 เดือน

มองตามของที่ตก

แปลกหน้าคน
ลูกของท่านทำได้เมื่ออายุ ………………เดือน

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย

กลิ้งของเล่นให้เด็กมองตาม

พูดและทำท่าทางเล่นกับเด็ก เช่น จ๊ะเอ๋ จับปูดำ แมงมุม จ้ำจี้ ตบมือ

พัฒนาการของเด็กวัย 9 เดือน


เข้าใจเสียงห้าม

เล่นจ๊ะเอ๋ ตบมือ

ใช้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือหยิบของชิ้นเล็ก
ลูกของท่านทำได้เมื่ออายุ ………………

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย

หัดให้เกาะยืน เกาะเดิน

หัดให้เด็กใช้นิ้วหยิบ จับของกินชิ้นเล็กเข้าปาก เช่น ข้าวสุก มะละกอหั่น มันต้มหั่น ฟักทอง ต้ม
ห้ามใช้ถั่ว หรือของที่จะสำลักได้

พัฒนาการของเด็กวัย 10 เดือน


เหนี่ยวตัว เกาะยืน เกาะเดิน

ส่งเสียงต่างๆ "หม่ำ หม่ำ", "จ๊ะ จ๋า"
ลูกของท่านทำได้เมื่ออายุ ………………

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย

จัดที่ให้เด็กคลาน และเกาะเดินอย่างปลอดภัย

เรียกเด็ก และชูของเล่นให้เด็กสนใจเพื่อลุกขึ้นจับ

พัฒนาการของเด็กวัย 1 ปี

ตั้งไข่

พูดเป็นคำที่มีความหมาย เช่น พ่อ แม่

เลียนเสียง ท่าทางและเสียงพูด
ลูกของท่านทำได้เมื่ออายุ ………………

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย

ให้เด็กมีโอกาสเล่นสิ่งของโดยอยู่ในสายตาผู้ใหญ่

พูดชมเชย เมื่อเด็กทำสิ่งต่างๆ ได้

พูดคุย ชี้ และบอกส่วนต่างๆ ของร่างกาย

พัฒนาการของเด็กวัย 1 ปี 3 เดือน

เดินได้เอง

ชี้ส่วนต่างๆ ของร่างกายตามคำบอก

ดื่มน้ำจากถ้วย
ลูกของท่านทำได้เมื่ออายุ……………………..

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย

พูดคุย โต้ตอบ ชี้ชวนให้เด็กสังเกตของและคนรอบข้าง

ให้หาของที่ซ่อนใต้ผ้า

ชี้ให้ดูภาพ และเล่าเรื่องสั้นๆ ให้เด็กฟัง

ให้เด็กหัดตักอาหาร ดื่มน้ำจากถ้วย และแต่งตัวโดยช่วยเหลือตามสมควร

พัฒนาการของเด็กวัย 1 ปี 6 เดือน

เดินได้คล่อง

รู้จักขอ และทำตามคำสั่งง่ายๆ ได้
ลูกของท่านทำได้เมื่ออายุ……………………..

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย

ให้โอกาสเด็ก เดิน วิ่ง และหยิบจับสิ่งของโดยระมัดระวังความปลอดภัย

ร้องเพลง คุยกับเด็กเกี่ยวกับสิ่งรอบตัว เล่นเกมส์ง่ายๆ

จัดหา และทำของเล่นที่มีสี และรูปทรงต่างๆ

พัฒนาการของเด็กวัย 1 ปี 8 เดือน

พูดแสดงความต้องการ

พูด 2-3 คำ ติดต่อกัน

เริ่มพูดโต้ตอบ

ขีดเขียนเป็นเส้นได้
ลูกของท่านทำได้เมื่ออายุ……………………..

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย

เมื่อเด็กพยายามทำสิ่งใด ควรสนใจ ชี้แนะ และให้กำลังใจ โดยให้เด็กคิดเอง และทำเอง บ้าง

ฝึกลูกให้ช่วยตัวเอง เช่น ขับถ่ายให้เป็นที่ รู้จักล้างมือก่อนกินอาหารและหลังขับถ่าย

ให้เด็กมีส่วนร่วมทำกิจกรรมต่างๆ ในบ้าน

พัฒนาการของเด็กวัย 2 ปี

เรียกชื่อสิ่งต่างๆ และคนที่คุ้นเคย

ตักอาหารกินเอง
ลูกของท่านทำได้เมื่ออายุ……………………..

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย

คุณพ่อคุณแม่ทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีตลอดเวลา และอบรมสั่งสอนลูกด้วยเหตุผลง่าย

สอนลูกให้รู้จักทักทาย ขอบคุณ และขอโทษในเวลาที่เหมาะสม

พัฒนาการของเด็กวัย 2 ปี 6 เดือน

ซักถาม "อะไร" พูดคำคล้องจอง

ร้องเพลงสั้นๆ

เลียนแบบท่าทาง

หัดแปรงฟัน
ลูกของท่านทำได้เมื่ออายุ……………………..

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย

พาเด็กเดินรอบบ้าน และบริเวณใกล้ๆ ชี้ชวนให้สังเกตสิ่งที่พบเห็น

หมั่นพูดคุยด้วยคำพูดที่ชัดเจน และตอบคำถามของลูกโดยไม่ดุ หรือแสดงความรำคาญ

ชวนลูกแปรงฟัน เมื่อตื่นนอนและก่อนนอนทุกวัน

พัฒนาการของเด็กวัย 3 ปี

บอกชื่อ และเพศตนเองได้

รู้จักให้และรับ รู้จักรอ
ลูกของท่านทำได้เมื่ออายุ……………………..

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย

สนับสนุนให้ลูกพูด เล่าเรื่อง ร้องเพลง ขีดเขียน และทำท่าทางต่างๆ

สังเกตท่าทีความรู้สึกของเด็ก และตอบสนองโดยไม่บังคับ หรือตามใจลูกเกินไป ควรค่อยๆ รู้จักผ่อนปรน

จัดหาของที่มีรูปร่าง และขนาดต่างๆ ให้เด็กเล่น หัดขีดเขียน หัดนับแยกกลุ่ม และเล่นสมมุติ

พัฒนาการของเด็กวัย 4 ปี

ซักถาม "ทำไม"

ล้างหน้า แปรงฟันเองได้

บอกขนาด ใหญ่ เล็ก ยาว-สั้น

เล่นรวมกับคนอื่น รอตามลำดับก่อนหลัง

ไม่ปัสสาวะรด
ลูกของท่านทำได้เมื่ออายุ……………………..

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย

ตอบคำถามของเด็ก

เล่าเรื่องจากภาพ คุย ซักถาม เล่าเรื่อง

ฝึกให้ลูกใส่เสื้อผ้า ติด และกลัดกระดุม รูดซิป

พัฒนาการของเด็กวัย 4 ปี 6 เดือน

รู้จักสีถูกต้อง 4 สี

ยืนทรงตัวขาเดียว และเดินต่อเท้า

เลือกของที่ต่างจากพวกได้

นับได้ 1-10 รู้จักค่าจำนวน 1-5
ลูกของท่านทำได้เมื่ออายุ……………………..

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย

ให้ลูกหัดเดินบนไม้กระดานแผ่นเดียว หัดยืนทรงตัวขาเดียว และกระโดดข้ามเชือก

เล่นทาย "อะไรเอ่ย" กับลูกบ่อยๆ

ฝึกหัดนับสิ่งของและหยิบของตามจำนวน 1-5 ชิ้น

พัฒนาการของเด็กวัย 5ปี

พบผู้ใหญ่รู้จักไหว้ทำความเคารพ

รู้จักขอบคุณ

รู้จักเล่าเรื่องสั้นๆ
ลูกของท่านทำได้เมื่ออายุ……………………..

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย

ให้ลูกช่วยงานบ้านง่ายๆ และพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่ทำ เช่น ซักผ้า

ฝึกให้ลูกสังเกต รู้จักเปรียบเทียบสิ่งที่แตกต่าง และจัดกลุ่มสิ่งที่เหมือนกัน

พัฒนาการของเด็กวัย 6 ปี

นับได้ 1-30 รู้ค่าจำนวน 1-10

รู้จักซ้าย ขวา

เริ่มอ่านและเขียนตัวอักษรและตัวเลข
ลูกของท่านทำได้เมื่ออายุ……………………..

วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย

ให้ลูกนับสิ่งของที่พบเห็น หัดอ่าน เขียนรูป และตัวอักษร

พูดคุยกับลูกเกี่ยวกับบุคคลต่างๆ และประเพณีท้องถิ่น

ให้ลูกวาดรูปตามความคิดของตน และเล่าเรื่องจากรูปที่วาด หรืออธิบายสิ่งที่ตนพบเห็น


ที่มาข้อมูล: กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

citibank,citibank,citibank,citibank,citibank,citibank,citibank,citibank,citibank,

โจ๊กตับไก่ (อาหารเสริมสำหรับเด็ก 6 เดือนขึ้นไป)



เขาบอกว่า ตับ นี่อุดมไปด้วยสารโปรตี นและธาตุเหล็ก เหมาะจะทำเป็นอาหารเสริมให้เด็กได้ตั้งแต่อายุ 3 เดือนกันเลย ช่วงนี้ ให้ใช้น้ำต้มตับมาผสมกับข้าวครูดเท่านั้น ต่อมาพออายุได้ 4 เดือนขึ้นไป ก็เปลี่ยนมาใช้ ตับที่ต้มจนสุกนุ่ม สับให้ละเอียด แล้วใช้ช้อนบดให้ละเอียดรวมกับข้าวผักทองหรือผักใบเขียวต้มจนสุกนุ่ม แล้วพอเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป ก็เพียงหั่นตับต้มเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ในอาหารชนิดต่าง ๆ ได้เลย

เลือกใช้ได้ทั้งตับไก่และตับหมู ที่สำคัญต้องสดใหม่ สีไม่ดำคล้ำ ไม่เละ และต้องเป็นตับที่ไม่มีดีแตก โดยเฉพาะตับไก่ เพราะถ้ามีดีแตกจะมีสีเขียว ๆ ติดอยู่ เด็กกินแล้วจะแหวะทิ้งทันที เพราะตับมีรสขม แล้วก็จะไม่กินตับอีกเลย อาหารจากตับควรจัดไว้ในรายการอาหารสำหรับเด็กอาทิตย์ละ 3 - 4 ครั้ง

ผักทุกชนิดที่ใส่ในโจ๊กตับไก่จะต้องต้มจนสุกนิ่ม และควรใส่น้ำมันพืชลงไปด้วย เพราะจะช่วยให้วิตามิน E ที่มีอยู่ในผักละลายออกมา ร่างกายจึงจะนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่




ปลายข้าวกล้องหอมมะลิ 1/4 ถ้วย
ตับไก่ 1 คู่ ไข่ไก่ฟองเล็กลวก 1 ฟอง
ตำลึงเด็ดเอาแต่ใบ 1/2 ถ้วย
แครอทหั่นสี่เหลี่ยมเล็กต้มสุก 2 ช้อนโต๊ะ ฟักทองหั่นสี่เหลี่ยมเล็กต้มสุก 2 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ้วขาว 1 ช้อนชา
น้ำซุปไก่ 4 ถ้วย
น้ำมันพืช 1 ช้อนชา



1. ล้างตับไก่ให้สะอาด ตั้งน้ำให้เดือดจัด ๆ ใส่ตับลงไปต้มให้สุกพอดี (อย่าให้สุกเกินไปตับจะแห้งและแข็ง) ตักขึ้นแช่ในน้ำเย็น ทิ้งไว้ให้เย็น จึงหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆคลุกกับน้ำมันพืช

2. ซาวปลายข้าว 1 ครั้ง ต้มปลายข้าวกับน้ำซุปไก่จนข้าวสุกนุ่ม

3. ใส่แครอท ฟักทอง พอสุกใส่ตับไก่ ตำลึง ต้มต่อด้วยไฟอ่อนจนผักสุกนิ่ม

4. ปรุงรสด้วยซีอิ้วขาว คนพอทั่ว ยกลง ตักใส่ถ้วย ต่อยไข่ลวกใส่






** ถ้าเป็นเด็กที่อายุต่ำกว่า 6 เดือน อาจจะใช้วิธีนำส่วนผสมที่ต้มเสร็จ แล้วไปปั่นให้ละเอียดในเครื่องผสมอาหารก็ได้

** วิธีลวกไข่ ล้างไข่ให้สะอาด ตั้งน้ำให้เดือดจัด ปิดไฟ แล้วใส่ไข่ลงไปในหม้อ ปิดฝาทิ้งไว้ 5 นาที ตักขึ้น แช่น้ำเย็น

วันอังคารที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2551

การให้นมแม่ในชั่วโมงแรกหลังคลอด และการกินนมแม่เพียงอย่างเดียวตั้งแต่แรกเกิดจนถึงหกเดือนสามารถรักษาชีวิตทารกได้กว่า หนึ่ง ล้านคนให้ปลอดภัย




วัตถุประสงค์ในการรณรงค์ :

·เพื่อกระตุ้นให้ทุกคนตระหนัก ถึงความสำคัญของการเริ่มเลี้ยงทารกด้วยนมแม่ตั้งแต่ชั่วโมงแรกของชีวิตที่สามารถช่วยชีวิตทารกเรือนล้านคน
·เพื่อส่งเสริมสัมผัสแนบชิดเนื้อแนบเนื้อระหว่างแม่กับลูกและเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียวในช่วงหกเดือนแรกของชีวิต
·เพื่อสนับสนุนให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้ความสำเร็จของการให้นมแม่ในช่วงชั่วโมงแรกเป็นดัชนีชี้วัดคุณภาพการป้องกันโรคและบริการด้านสุขภาพ
·เพื่อสร้างความมั่นใจว่า พ่อและแม่ตระหนักถึงความสำคัญของชั่วโมงแรกในชีวิตทารก เพื่อที่จะได้มอบโอกาสนี้แก่ลูกได้ทันที
·เพื่อสนับสนุนโครงการโรงพยาบาลสายสัมพันธ์แม่-ลูก (BFHI) ที่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขแนวทางปฏิบัติใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับการเริ่มต้นให้นมแม่ในช่วงแรกเริ่มของชีวิต

สิ่งนี้เริ่มต้นทันทีเมื่อแรกเกิด สิ่งแรกที่เราควรกระทำหลังจากได้กำเนิดขึ้นมา...ก็คือการได้ดูดนมจากอกแม่ เป็นการกระทำที่เปี่ยมด้วยความรักและความเอื้ออาทร เราไม่อาจรอดชีวิตได้หากปราศจากการกระทำนี้ มันเป็นเรื่องที่ชัดเจน เป็นวิถีแห่งชีวิตและเป็นสัจธรรม
ดาไล ลามะ และโฮเวิร์ด ซี คัทเลอร์,
The Art of Happiness A Handbook for Living.1998



ชั่วโมงแรก...ชั่วโมงทองของชีวิต
ทารกค้นหาเต้านมมารดา แม่และลูกสามารถร่วมกันทำกิจกรรมนี้จนสำเร็จ เมื่อเราศรัทธาในปฎิสัมพันธ์ระหว่างแม่-ลูก ด้วยการให้คำแนะนำและดูแลด้านการเลี้ยงดูทารกอย่างถูกต้อง นี่คือจุดเริ่มต้นของการมีชีวิต และน้ำนมแม่เป็นสายใยชีวิตระหว่างแม่กับลูก



ชั่วโมงแรกสำคัญอย่างไร

เมื่อทารกที่สุขภาพแข็งแรงได้แนบสนิทเนื้อแนบเนื้อกับทรวงอกและหน้าท้องของมารดาทันทีเมื่อแรกคลอด อกอุ่นของแม่จะช่วยกระตุ้นให้ทารก มีความตื่นตัว สามารถคืบคลาน เมื่อได้รับการกระตุ้นจากสัมผัสอันอ่อนโยนของมารดา ได้อิงแอบแนบอุทร และเอื้อมมือไขว่คว้าเต้านมของเธอ13 ทารกเริ่มสัมผัสและนวดเฟ้นเต้านม สัมผัสอันอ่อนโยนจากศีรษะและมือของทารกกระตุ้นการหลั่งสาร ออกซิโตซิน9 ในมารดา น้ำนมจึงเริ่มหลั่งไหลและความรักความผูกพันที่มีต่อลูกก็ยิ่งเพิ่มทวี หลังจากสูดดม อ้าปากงับและเลียหัวนมของแม่แล้ว ทารกก็จะเกาะกุมเต้านมและเริ่มดูดดื่มน้ำนมเพื่อยังชีพ กระบวนการนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิตของลูกมนุษย์
ถึงแม้ว่าได้มีนักประพันธ์หลายคนบรรยายพฤติกรรมปกติของทารกนี้เอาไว้7,13 เราพิ่งเริ่มค้นพบ ความสำคัญของการให้โอกาสเช่นนี้ต่อแม่และลูก นับเป็นครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์ได้ประเมินผลกระทบของเวลาในการให้นมแม่ครั้งแรกกับอัตราการตายของทารก และพบว่าการตายอาจลดน้อยลง หากทารกได้เริ่มดูดนมแม่ในระหว่างชั่วโมงแรกของชีวิต (ดูในกล่องรายงานการวิจัย)

เพิ่มประสิทธิผลของน้ำนมแม่ด้วยการกินนมแม่อย่างเดียวในหกเดือนแรก

คู่มือการให้อาหารทารกและเด็กขององค์การอนามัยโลกและกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) แนะนำให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวนานหกเดือน หลังจากนั้นจึงให้นมแม่ร่วมกับอาหารเสริมที่เหมาะสมจนเด็กมีอายุครบสองขวบหรือเกินกว่านั้น
การเริ่มให้นมแม่ตามปกติในช่วงนาทีแรกหรือชั่วโมงแรกนั้นเริ่มต้นด้วยการสัมผัสแบบเนื้อแนบเนื้อ ซึ่งช่วยให้การให้นมแม่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด BFHI กำหนดให้มีการสัมผัสระหว่างแม่และทารก โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างบันไดขั้นที่ 4 ในบันได10 ขั้นสู่ความสำเร็จในการให้นมแม่ขององค์กรอนามัยโลกและองค์กรยูนิเซฟ

นมแม่...สิทธิแท้ของแม่และเด็ก

สนธิสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กรับรองสิทธิในการดำรงชีวิตให้แก่เด็กทุกคน เพื่อความอยู่รอดและพัฒนาการที่ดี การให้นมแม่หลังคลอดหนึ่งชั่วโมงช่วยในการรอดชีวิตของทารก ผู้หญิงมีสิทธิที่จะรับรู้ข้อมูลนี้และได้รับความช่วยเหลือในการเริ่มต้นให้นมแม่แก่ลูก

ความสำคัญของการสัมผัสแบบเนื้อแนบเนื้อหลังคลอดและการให้นมแม่ภายในชั่วโมงแรก

1 ไออุ่นจากกายของแม่ช่วยรักษาความอบอุ่นให้ทารก ซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อทารกที่มีขนาดตัวเล็กและน้ำหนักแรกคลอดต่ำกว่าปกติ4
2 ทารกจะความผ่อนคลาย สงบ การหายใจและอัตราการเต้นหัวใจก็สม่ำเสมอขึ้น7
3 ทารกจะได้สัมผัสกับเชื้อแบคทีเรียจากแม่ที่ส่วนใหญ่เป็นประโยชน์และไม่มีอันตรายทั้งในน้ำนมแม่ก็มีภูมิคุ้มกันอยู่ด้วย เชื้อแบคทีเรียของแม่ที่แพร่ขยายพันธุ์ในทางเดินอาหารและผิวหนังทารกจะ ต่อสู้กับเชื้อแบคทีเรียอันตรายที่มาจากบุคคลากรทางการแพทย์และสภาพแวดล้อม น้ำนมแม่จึงช่วยหยุดยั้งการติดเชื้อได้5
4 ทารกได้รับหัวน้ำนมสีเหลืองจากการดูดนมแม่ครั้งแรก น้ำนมสีทองคำนี้บางครั้งถูกเรียกว่าของขวัญแห่งชีวิต
· หัวน้ำนมสีเหลืองนั้นอุดมด้วยภูมิคุ้มกัน แอนติบอดี และโปรตีนป้องกันโรคอื่นๆ มันทำหน้าที่เป็นวัคซีนขนานแรกของทารก ช่วยป้องกันโรคติดเชื้อมากมาย และยังช่วยพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันของทารกที่กำลังพัฒนาขึ้นมาอีกด้วย
· หัวน้ำนมสีเหลืองมีสารที่ช่วยการเจริญเติบโต (growth factor) ซึ่งช่วยให้ลำไส้ใหญ่ของทารกแข็งแรงและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จุลชีพและเชื้อโรคอื่นๆ จึงเข้าสู่ร่างกายทารกได้ยากขึ้น
· หัวนำนมสีเหลืองอุดมด้วยวิตามินเอ ซึ่งช่วยป้องกันดวงตาและลดการอักเสบ
· ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ทำให้ขี้เทาถูกกำจัดออกจากช่องท้องได้อย่างรวดเร็ว และสารในร่างกายทารกที่ทำให้เกิดอาการตัวเหลืองก็จะถูกขับถ่ายไปด้วย ดังนั้นโอกาสที่ทารกจะตัวเหลืองจะลดน้อยลง
· มีปริมาณน้อย เหมาะสำหรับทารกแรกคลอด
5 การสัมผัส และ ดูดเต้านมกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนออกซิโตซิน ซึ่งมีความสำคัญด้วยเหตุผลหลายประการ
· ออกซิโตซิน ทำให้มดลูกหดตัว ซึ่งอาจช่วยในการคลอดรก และลดการเสียเลือดหลังคลอด10
· ออกซิโตซิน กระตุ้นฮอร์โมนต่างๆ ทำให้แม่รู้สึกสงบ ผ่อนคลาย รักและผูกพันกับลูกของตน9
· ออกซิโตซิน กระตุ้นการหลั่งน้ำนม
6 ผู้หญิงรู้สึกมีความสุขอย่างเหลือล้นเมื่อได้เห็นหน้าลูกเป็นครั้งแรก และส่วนใหญ่พ่อจะรู้สึกร่วมในความสุขนั้นด้วย สายใยความผูกพันระหว่างแม่และลูกได้เริ่มต้นขึ้น

โดยสรุปแล้ว สัมผัสแบบเนื้อแนบเนื้อ และการให้หัวนำนมสีเหลืองนั้นมีส่วนช่วยลดอัตราการตายในช่วงเดือนแรกของชีวิต นอกจากนี้ การกระทำดังกล่าวมีผลในการยืดระยะเวลาการให้นมแม่เพียงอย่างเดียวและการให้นมแม่ให้นานขึ้นในเดือนต่อๆ ไป ยังทำให้ทารกมีสุขภาพแข็งแรงและอัตราการตายต่ำลงด้วย6,12

การให้นมแม่ในชั่วโมงแรกเป็นเพียงวิธีการเดียวที่รับรองได้ว่าแม่จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียวต่อไปรึเปล่า ไม่เลย แม่ยังจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือในการเลี้ยงลูกด้วยนมตนเองอย่างเดียวจนครบ 6 เดือน จากครอบครัว บุคคลากรทางการแพทย์ ผดุงครรภ์ หรือบุคคลในชุมชน ล้วนเป็นเครือข่ายสนับสนุนที่มีความสำคัญ แพทย์ พยาบาล สาธารณสุข และบุคคลอื่นๆ จำเป็นต้องได้รับฝึกฝนให้มองเห็นปัญหา ประเมินคุณภาพการให้นมแม่ อีกทั้งมีความรู้ความเชี่ยวชาญพอที่จะช่วยแม่แก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ ช่วงเวลาการนัดพบแพทย์ที่กำหนดไว้ที่ 48-72 ชั่วโมงหลังคลอด หนึ่งสัปดาห์หลังคลอด และช่วงเวลาที่เหมาะสมหลังจากนั้น เปิดโอกาสให้สามารถเข้ามาแก้ปัญหาได้ทันท่วงที หรือ ให้กำลังใจแก่แม่เมื่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ดำเนินไปด้วยดี
การริเริ่มโครงการ BFHI ที่มี 10 ขั้นตอนสู่ความสำเร็จในการให้นมแม่ขึ้นมาใหม่ พร้อมกับการปฏิบัติตาม International Code of Marketing of Breast-milk Substitutes และ มติของสมัชชาการอนามัยโลกเป็นโครงสร้างค้ำจุนที่ช่วยป้องกัน ส่งเสริม และ สนับสนุนการให้นมแม่ให้ประสบความสำเร็จสูงสุด

นโยบายมีความสำคัญ
เราไม่ทราบว่าทารกกี่คนได้รับสัมผัสโอบอุ้มจากแม่และได้รับนมแม่ในช่วงชั่วโมงแรกของชีวิต

10 ขั้นตอนสู่ความสำเร็จในการให้นมแม่ที่รวบรวมอยู่ใน BFHI มีขั้นตอนหนึ่งที่กำหนดให้ช่วยเหลือในการให้นมแม่ใช่ช่วงชั่วโมงแรกของชีวิต ปัจจุบัน เราเข้าใจแล้วว่าทารกทุกคนควรได้สัมผัสแนบชิด/สัมผัสแบบเนื้อแนบเนื้อ แม่ทันทีหลังคลอด และมีโอกาสดูดนมแม่ทันทีที่พร้อม

ขั้นตอนอื่นที่เพิ่มโอกาสของการให้นมแม่เพียงอย่างเดียวคือ การสอนท่าให้นมแม่และจัดตำแหน่งทารกให้เหมาะสม, การให้แม่และลูกได้อยู่ด้วยกันหลังคลอด, สนับสนุนการให้นมเมื่อทารกเรียกร้อง, หลีกเลี่ยงการใช้หัวนมปลอม หรือ จุกนมหลอก และหลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มอื่นๆ ที่แพทย์ไม่ได้กำหนด ในโรงพยาบาลสายสัมพันธ์แม่ลูก อัตราการให้นมแม่ในระยะแรกเริ่ม การให้นมแม่เพียงอย่างเดียว และระยะเวลาในการให้นมแม่อยู่ในระดับที่ดีขึ้น

# 1 รายงานการวิจัย
ถ้าทารกได้นมแม่ภายในชั่วโมงแรก อาจรักษาชีวิตทารกได้หนึ่งล้านคน
นักวิจัยในเขตชนบทของประเทศกานา ซึ่งการเริ่มให้นมแม่ตั้งแต่แรกเริ่มไม่ใช่วิถีปฏิบัติตามปกติ พบว่าทารกที่ได้นมแม่ภายในชั่วโมงแรกของชีวิตมีโอกาสรอดชีวิตหลังคลอดสูงกว่าเด็กที่ไม่ได้นมแม่ (Edmond et al, 2006)
· ทารกที่ไม่ได้นมแม่ภายใน 24 ชั่วโมงแรกของชีวิตมีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าทารกที่ได้นมแม่ภายในหนึ่งชั่วโมงแรกถึง 2.5 เท่า ไม่ว่าจะได้นมแม่เพียงอย่างเดียวหรือเพียงบางส่วนก็ตาม
· 30 เปอร์เซนต์ของทารกที่ทำการศึกษาได้รับอาหารแข็งหรือนมชนิดอื่นก่อนอายุครบหนึ่งเดือน
· ทารกเหล่านี้มีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าทารกที่ได้รับนมแม่อย่างเดียวถึง 4 เท่า
· ข้อสรุป
สำหรับเขตชนบทในประเทศกานา · 16 เปอร์เซนต์ของการตายในทารกแรกเกิดสามารถป้องกันได้ หากทารกได้รับนมแม่เพียงอย่างเดียวตั้งแต่วันแรกของชีวิต
· 22 เปอร์เซนต์ของการตายในทารกแรกเกิดสามารถป้องกันได้ หากทารกได้รับนมแม่ภายในหนึ่งชั่วโมงหลังการคลอด

Edmond K et al (2006) Delayed Breastfeeding Initiation Increases Risk of Neonatal Mortality. Pediatrics, 117:380-386

Edmond KM, Bard EC, Kirkwood BA. Meeting the child survival millennium development goal. How many lives can we save by increasing coverage of early initiation of breastfeeding? Poster presentation at the Child Survival Countdown Conference, London UK. December 2005.

#2 วิธีเริ่มให้นมแม่ในช่วงชั่วโมงแรกของชีวิต1, 7, 11

1 จัดหาบุคคลากรที่เหมาะสม มีความเข้าใจถึงความสำคัญนี้และคำนึงถึงขนบประเพณีที่มีในท้องถิ่น ให้มาอยู่เคียงข้างแม่ระหว่างคลอด
2 สนับสนุนวิธีต่างๆ ที่ช่วยเหลือผู้หญิงระหว่างการคลอดให้สุขสบายขึ้นโดยไม่ต้องใช้ยา เช่นการนวด สุคนธบำบัด, ธาราบำบัด, การเปลี่ยนท่าและเคลื่อนไหว3
3 ยินยอมให้แม่เลือกอยู่ในท่าคลอดที่แม่พอใจ7โดยไม่จำเป็นต้องนอนในท่าขึ้นขาหยั่ง
4 เช็ดตัวทารกให้แห้งอย่างรวดเร็ว เก็บครีมสีขาวตามธรรมชาติ (vernix) ที่ช่วยลดการระคายเคืองเอาไว้
5 บทารกที่ยังไม่สวมเสื้อผ้าให้นอนคว่ำหน้าบนทรวงอกที่เปล่าเปลือยของแม่ แล้วใช้ผ้าห่มทั้งคู่เอาไว้
6 ปล่อยทารกให้ซุกไซ้หาเต้านม แม่สามารถใช้สัมผัสกระตุ้นลูกได้และอาจจัดทารกให้อยู่ใกล้หัวนมมากยิ่งขึ้น แต่ไม่ควรบังคับทารกให้งับหัวนม
7 ปล่อยให้ทารกแนบสนิทชิดเนื้อกับแม่จนจบการให้นมครั้งแรก หรือจนกว่าแม่จะพอใจ
8 ผู้หญิงที่คลอดลูกด้วยการผ่าตัดควรได้โอบอุ้มลูกอย่างใกล้ชิดทันทีหลังคลอด
9 เลื่อนขั้นตอนที่ก่อความเครียดและแทรกแซงความสัมพันธ์แม่ลูกออกไป ทารกควรได้รับการชั่งน้ำหนัก, วัดส่วนสูง และได้รับวัคซีนป้องกันโรคหลังจากดูดนมแม่แล้ว1, 11
10ทารกไม่ควรได้รับของเหลวหรืออาหารใดๆ นอกจากเมื่อมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์1, 11


# 3 ความเชื่อที่ผิด อุปสรรคต่อการเริ่มให้นมแม่

1. หัวนำนมสีเหลืองไม่ดี หรือแม้แต่เป็นอันตรายต่อทารก - ไม่จริง
หัวนำนมสีเหลืองจำเป็นต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการตามปกติ
- เป็นวัคซีนขนานแรกที่ช่วยป้องกันลำไส้อักเสบและการติดเชื้ออื่นๆ
- เป็นยาระบายเพื่อช่วยลดความรุนแรงของอาการตัวเหลือง

2. ทารกจำเป็นต้องได้รับชาสมุนไพรหรือของเหลวอื่นๆ ก่อนนมแม่ - ไม่จริง
การให้อาหารใดๆ (ก่อนเริ่มให้นมแม่) เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ลดโอกาสที่ทารกจะได้รับนมแม่เพียงอย่างเดียว และร่นระยะเวลา
การให้นมแม่ลง6,8,11

3. หัวนำนมสีเหลืองและนมแม่ไม่เพียงพอสำหรับทารก - ไม่จริง
หัวนำนมสีเหลืองนั้นเพียงพอสำหรับอาหารมื้อแรก5 การที่ทารกแรกเกิดน้ำหนักลดลง 3-6 เปอร์เซนต์เป็นเรื่องปกติ เพราะทารกมีน้ำและ น้ำตาลสะสมในร่างกายสำหรับใช้ในช่วงเวลานี้

4. ทารกจะรู้สึกหนาว – ไม่จริง
ไออุ่นจากอกแม่เป็นอุณหภูมิที่ปลอดภัยสำหรับทารก เมื่อมีการสำผัสแบบเนื้อแนบเนื้อกับแม่5 ผิวกายของแม่จะมีอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 0.5 องศาเซลเซียสภายใน 2 นาที หลังจากวางทารกลงไป

5. หลังเจ็บท้องและคลอดบุตรแล้ว แม่เหนื่อยเกินกว่าจะให้นมลูกได้ทันที - ไม่จริง
สาร ออกซิโตซิน ที่ถูกกระตุ้นให้หลั่งด้วยสัมผัสแบบเนื้อแนบเนื้อ กับลูกและการให้นมช่วยผ่อนคลายผู้หญิงหลังคลอด

6. การดูดปาก จมูก และลำคอทารก ก่อนการสูดหายใจครั้งแรกเพื่อป้องกันการสำลักน้ำคร่ำเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากทารกถ่ายอุจจาระระหว่างกระบวนการคลอด – ไม่จริง
การทำ suction ในทารกแรกเกิดที่สุขภาพดีไม่ช่วยลดการสำลักน้ำคร่ำ และอาจทำให้เนื้อเยื่อในปาก ลำคอและเส้นเสียงได้รับความเสียหาย นอกจากนี้ การดูดสารทางเดินอาหารยังเป็นอุปสรรคต่อการให้นมแม่อีกด้วย13

7. จะต้องให้วิตามิเคและหยอดยาป้องกันการติดเชื้อโรคหนองในที่ตาทันทีหลังการคลอด - ไม่จริง
American College of Obsterics and Gynaecology และ Academy of Breastfeeding Medicine ระบุว่าสามารถเลื่อนการป้องกันที่จำเป็นนี้ออกไปได้หนึ่งชั่วโมง จนกว่าจะเสร็จจากการให้นมแม่ โดยไม่มีความเสี่ยงใดๆ ต่อเด็ก11 ไม่ว่าในกรณีใดก็ไม่ควรแยกแม่กับลูกออกจากกัน

8. ผู้หญิงจำเป็นต้องได้รับยาช่วยบรรเทาความเจ็บปวดระหว่างคลอด - ไม่จริง
การใช้ยาชาหรือยาสลบอาจทำให้ทารกเซื่องซึม เป็นอุปสรรคต่อการซุกไซ้หาเต้านม และทำให้การให้นมครั้งแรกล่าช้าไปได้หลายชั่วโมงถึงหลายวัน7 การบำบัดเสริมอื่นๆ รวมทั้งการจัดหาคนมาอยู่เป็นเพื่อนระหว่างการคลอดลูก ช่วยผู้หญิงให้รับมือกับความเจ็บปวดได้ดีขึ้น และผลการคลอดก็อาจดีขึ้นด้วย3

9. การให้ความช่วยเหลือแม่ในขั้นตอนนี้ไม่มีประโยชน์ สิ้นเปลืองเวลาและแรงงาน - ไม่จริง
ในขณะที่ทารกอยู่บนอกแม่ เจ้าหน้าที่ดูแลคลอดสามารถทำการประเมินสุขภาพแม่และทารก อีกทั้งงานอื่นๆ ไปพร้อมกันได้11 ทารกจะหาวิธีไปถึงเต้านมด้วยตนเอง
Huge wall maps - transport the earth to your house

Plan near perform awake your house? Responsibility up the center of your house is able to be a quite point in time overwhelming and challenging charge. You would absolutely alike to every plus each space to have a distinct look reflecting the personality of those who live in there. For example the kids’ space must be active and lively now similar to your kids. It should also be kid secure and provide to every one their necessities.

The usual decorate thoughts be what you usually observe approximately you in a lot of home. Why not be a petite new through your interiors and comprise things so as to would create a worth adding to your house. You would absolutely love to contain a house that you are convenient in and makes a feeling through your visitors.

For a dissimilar with pretty seem to your house the children wall maps are a fine choice value consider. You strength either have the kids wall map on one of the livelihood space ramparts or then it preserve be used in the children’s bedroom. A fresh looks to your home with kids wall map sis amazing that you and your people would love. It would prove to be a great value addition to your interiors perfectly matching with the rest of your decoration. The wall maps for kids can also be used for all the enjoyment wisdom tricks with your kids. You copped have fun sport with kids and comprise spent various excellence family time. Mutually you and your kids are going to think huge with the enjoyment occasion you would hold together during the wall map for kids.

There are several options to desire since as view wall maps for children. You might have USA wall maps or earth division diagram for your ramparts. There are also for kids maps of the solar design that are obtainable. The solar system wall map children have a meticulous bright emblem of the lunar organism amid all facets like planets, stars, meteors. A lovely look to the room and a fun way to learn new concepts is what the wall maps offer. The kids’ world wall map like the solar system maps have a laminated surface and are mark able and washable. The maps come with a lot of in a row about the dissimilar country like the vegetation and fauna, the explorers and flags to name a few. There are many enjoyment games that
you could cooperate with these maps.

The wall maps appear in a numeral of material. There are kids felt wall map that are offered. Fabric and paper wall maps are the extra option. These wall maps are particularly easy to establish and also get along. Kids would actually cover enjoyment through demonstrate and brilliant knowledge understanding. Order online has complete it extremely easy to contain a wall map for your house. With the online sites donation facilities of ordering and fee online, the wall map would be correct at your entrance in a few existences.

Cover enjoyment among your kids, it is an amazing method to find out the easy pleasure of existence.

Robert Klien reviews maps for kids, wall maps, USA wall maps, laminated wall maps, large wall maps, world wall maps, framed wall maps, world wall maps, fabric maps, country wall maps, detailed wall maps, children wall maps, kids wall map, wall maps for kids, kids wall maps, wall map for kids, wall maps for children, kids world wall map, wall map children, kids felt wall map



วันจันทร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2551

โคลิค



โคลิค เป็นอาการของเด็กวัยทารกแรกเกิด ที่มีอาการคล้ายปวดท้อง ลำไส้บีบรัดตัวเป็นพักๆ ยิ่งร้องไห้มากเท่าไหร ่อากาศจะเข้าไปใส่ลำไส้ท้องจะยิ่งแข็งและผายลมออกมามาก มักจะเป็นวันละครั้ง โดยมากมักเป็นช่วงเวลาเย็นๆ จนถึงค่ำต่อเนื่องไปจนถึงดึก และเด็กจะหยุดร้องเองเมื่อเวลาผ่านไป 3-4 ชั่วโมง
ทำอย่างไรดี
ลองเปลี่ยนท่าอุ้ม ถ้าคุณเคยอุ้มลูกให้หงาย ในอ้อมแขนลองเปลี่ยนท่าอุ้มโดยอุ้มขึ้นพาดไหล่แล้วลูบหลังเบาๆ เดินไปเดินมาหรือให้อุ้มท่าคว่ำลงบนท่อนแขน ท่าอุ้มนี้ควรฝึกให้ชำนาญก่อนนะครับ ท่าอุ้มนี้จะทำให้เด็กหลายคนรู้สึกดีขึ้นและมักดีกว่าท่าอุ้มอื่นๆ เช่น
ท่าที่ 1 อุ้มลูกให้มองเข้าหาคุณ แล้วเอาลูกเข้าในอ้อมกอดให้ความอบอุ่น
ท่าที่ 2 อุ้มพาดไหล่ แล้วเดินไปมาในขณะเดียวกัน เอาฝ่ามือลูบหลังลูกไปมา
ท่าที่ 3 วางพาดบนแขนคุณ ให้แขนและขาของลูกห้อยลง แล้วพาลูกเดินไปมาโดยที่ฝ่ามือของคุณลูบหลังลูก หรือจะเลือกอุ้มแต่ละท่าสลับกันไปก็ได้นะครับ
ให้ทานยา ยาที่หมอให้ลูกทานมีหลายชนิดได้แก่ ยาขับลมในท้องเด็กมีตัวยา คือ Simethicone, ยาแก้กวน มีตัวยาคือ Phenobarb, ยาแก้ปวดท้อง มีตัวยาคือ Dicyclomine
ยาเหล่านี้บางครั้งใช้ได้ผลและบางครั้งอาจจะไม่ได้ผล โดยเฉพาะยาแก้กวนไม่ควรให้ลูกทานติดต่อกันนานๆ เพราะอาจจะทำให้ลูกกวนมากยิ่งขึ้น ยาขับลมในเด็กให้ผลที่ไม่แน่นอน ต่อการรักษาโรคนี้ ลมที่อยู่ในลำไส้ส่วนใหญ่เกิดจากการร้องของลูก แล้วกลืนลมลงไปในกระเพาะ ลำไส้ลูกจะค่อยๆ ขับลมโดยการผายลม หรือโดยการเรอออกมา สำหรับยาแก้ปวดท้องนี้ จะลดการบีบตัวของลำไส้อาจจะช่วยลดการร้องได้ แต่ควรใช้ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะถ้าทานมากไป อาจจะเป็นอันตรายต่อลูกได้
เปลี่ยนนมช่วยได้ไหม
ในขณะนี้เชื่อว่าที่ลูกปวดท้องนั้นอาจจะเกิดจากการแพ้นมวัว การเปลี่ยนเป็นนมถั่ว เช่น โพรโซบี (Prosobee) ไอโซมิล (Isomil) หรืออัลซอย (Alsoy) หรือ นมสำหรับภูมิแพ้ คือ นูตราไมเจน (Nutramigen) หรือ พรีเจสติมิล (Pregestimil) อาจจะช่วยลดอาการปวดท้องนี้ได้ ในกรณีที่ลูกได้รับแต่นมแม่อย่างเดียว โดยไม่ได้รับนมวัว แล้วเกิดอาการโคลิค คุณแม่ควรงดดื่มนมวัว และผลิตภัณฑ์จากนมวัวทุกชนิด เช่น ไอศครีม เนย หรือนมเปรี้ยว แล้วให้ลูกทานแต่นมแม่อย่างเดียว โดยส่วนใหญ่แล้ว อาการปวดท้องของลูกจะดีขึ้น ในกรณีที่อาการของลูกยังไม่ดีขึ้น คุณควรงดอาหารทะเลและไข่ด้วย เมื่อทำเช่นนี้แล้วลูกยังไม่ดีขึ้น เมื่อทำเช่นนี้แล้ว ลูกยังคงมีอาการโคลิคเช่นเดิม ควรนำปัญหานี้มาปรึกษากับหมอนะค่ะ

ในกรณีที่คุณเปลี่ยนนมที่ให้ลูกทานจากนมวัวเป็นนมถั่ว หรือนมสำหรับภูมิแพ้แล้วอาการของลูกดีขึ้น ควรให้ลูกทานนมกลุ่มนี้ต่อไปประมาณ 2 สัปดาห์ แล้วจึงค่อยๆ เปลี่ยนกลับมาทานนมวัวเช่นเดิม ถ้าอาการของลูกกลับมากำเริบอีก ก็ควรจะให้นมถั่วหรือนมสำหรับภูมิแพ้อีกครั้งเมื่อลูกอายุได้ ประมาณ 2 เดือน อาการเหล่านี้มักจะหายไปโดยสิ้นเชิง


จาก BangkokHealth

Best Online Shooting Games

Shooting games are games where you shoot at things and people. You either have a mission to accomplish or you just have to pile up your kills and blow things up. Games can offer you shooting in planes or tanks, or just face to face shooting spree. Most of the online shooting games today are for free for you to enjoy. You will be surprised how many free online shooting games there are today. Shooting games are one of the many games created and played online.

Final Defense 2 is one of the most popular shooting game online. Like other games, it is for free. It is a simple yet fun and addictive game. In the game, you have a base where you have to defend it against a swarm of wave of enemies. Other than it is a shooting game, it is also a strategic game. When you kill your enemies, you are rewarded with money for you to be able to repair and build more effective defenses as your enemies get harder.

Black Sheep Acres is another simple and fun online shooting game, which is free. In the game, you are farmer Pat who is attacked by almost all animals from the forest. The animals that attack you are gophers, deer, rabbits, and big sized red eyed nasty rabbits. Some people would not like this type of game since it involves shooting and killing animals. There is a wide variety of cool weapons and extras for you to be able to effectively protect your wall. You have a dog named Pj, a tractor, flamethrower, nailgun, and many more.

Boxhead is another free online simple shooting game. In the game, you are the man who has a gun and will try to kill the already dead zombies who are running about and killing everyone in their sight. Kill all the zombies you encounter. It is a simple and straight up game, but people have a hard time getting away from it.

War Rock is another free online shooting game. It’s a little more complicated than the other games above. It is better than a flash game. War Rock is one of the best exciting and thrilling shooting game, which has the graphics and gameplay. It is a big download and a multiplayer game. It is also considered as an MMOG. It can be put up with the best and is free. In the game, other than choosing to be an engineer, a medic, an assault, or a sniper, you can get in tanks, motorcycles, jeeps, and planes, and destroy the opposing enemy.

These are the best online shooting games right now, and they are free of charge. Even though these kinds of games promote violence, hey, its all for fun!

วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

คำแนะนำและสิ่งที่ควรรู้ในการฉีดวัคซีน



BABY TATA

1 หลังการฉีดวัคซีน เด็กอาจมีไข้ได้ 1 - 2 วัน ให้ดูแลโดยยาลดไข้ และเช็ดตัวเมื่อมีไข้สูงร่วม ด้วย ถ้ามีปฏิกิริยาจากวัคซีนมาก เช่น มีไข้ ชัก ควรรีบพาไปพบแพทย์ และควรแจ้งให้แพทย์ ทราบเพื่อเป็นข้อมูลในการฉีดวัคซีนครั้งต่อไป

2 ถ้ามีไข้ในวันนัด ควรเลี่ยงการฉีดวัคซีนไปจนกว่าไข้จะหายดี ส่วนอาการของการเจ็บป่วย เช่น หวัด หรือไอเล็กน้อย โดยทั่วไปฉีดวัคซีนได้ ซึ่งแพทย์จะพิจารณาเป็นรายๆ ไป

3 วัคซีนหลายชนิดสามารถให้ในวันเดียวกันได้ ปฏิกิริยาจากการฉีดวัคซีนขึ้นอยู่กับวัคซีนแต่ ละชนิด และเด็กแต่ละรายไม่เหมือนกัน

4 เด็กมีประวัติแพ้ไข่ หรือ Neomycin ชนิดรุนแรง ควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อเลือกฉีกวัคซีน อย่างระมัดระวัง

5 เด็กที่มีปัญหาภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น โรคเอดส์ หรือได้รับการรักษาด้วยยาบางอย่าง ต้องแจ้งให้ แพทย์ทราบเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้วัคซีนที่อาจเป็นอันตรายได้

6 ในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 1 ปีแรก จะฉีดวัคซีนบริเวณต้นขา ซึ่งง่ายและปลอดภัยกว่าบริเวณอื่นๆ

7 ผลการป้องกันวัคซีนที่ฉีดครบกำหนดบางตัว อาจป้องกันได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์

8 บางครั้งอาจมีก้อนเป็นไต บริเวณหลังฉีดวัคซีน ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่เจ็บ และจะหายไปเองใน 2-3 เดือน เป็นผลของส่วนผสมในวัคซีนร่วมกับการฉีดไม่ลึกพอ เกิดในเด็กบางคน
toyota,citibank,visa,mastercard,AMEX,DINER,JCB

การอาบน้ำลูกน้อย



โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์พรทิพย์ อาปณกะพันธ์
ภาควิชาการพยาบาลกุมารเวชศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหิดล

การทำความสะอาดร่างกายลูกน้อยวัยแรกเกิด

การดูแลทำความสะอาดร่างกายถือเป็นกิจวัตรประจำวันของมนุษย์ สำหรับลูกตัวเล็กๆ โดย เฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวัยแรกเกิด คือในช่วงเดือนแรกหลังเกิด คุณพ่อคุณแม่จะเป็นผู้มีบทบาท สำคัญในการดูแลทำความสะอาดร่างกายให้ลูก การทำความสะอาดร่างกายอย่างถูกต้องนอกจาก จะทำให้ลูกสุขสบายแล้ว ยังอาจป้องกันโรคบางโรค เช่น โรคติดเชื้อและโรคหวัด เป็นต้น

การทำความสะอาดร่างกายให้ลูกในช่วงแรกเกิดมี 2 วิธี คือ การเช็ดตัวและการอาบน้ำ ในกรณี ที่สายสะดือของลูกยังไม่หลุด ควรทำความสะอาดด้วยการเช็ดตัวให้วันละ 2 ครั้ง เช้า และเย็น ทั้งนี้ เพราะหากอาบน้ำ จะทำให้สะดือแฉะ เป็นหนทางนำเชื้อโรคเข้าสู่ลูกได้ เมื่อลูกอายุ ประมาณ 7 - 10 วัน สายสะดือจะแห้งและหลุดไปเอง ซึ่งเมื่อสายสะดือหลุดและสะดือแห้งดีแล้ว การทำความสะอาดร่างกายควรเปลี่ยนมาเป็นการอาบน้ำจะดีกว่า เพราะจะทำให้ทำความสะอาด ได้ทั่วถึงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หากคุณพ่อคุณแม่ชอบวิธีการอาบน้ำมากกว่า ก็สามารถอาบน้ำให้ ลูกได้ตั้งแต่แรกเกิด แต่ต้องให้ความสำคัญกับการทำความสะอาดสะดือหลังอาบน้ำเป็นอย่างดี

สำหรับการสระผม ไม่ว่าจะทำความสะอาดร่างกายด้วยวิธีการเช็ดตัวหรืออาบน้ำ ควรสระผม ด้วยทุกวัน วันละครั้ง แต่ถ้าอากาศหนาวเย็น หรือลูกมีอาการเป็นหวัดก็ควรเว้นระยะการสระผม อาจสระเพียงวันเว้นวันก็พอ

สิ่งที่ควรคำนึงถึง เมื่อทำความสะอาดร่างกายให้ลูก

1 เตรียมอุปกรณ์ของใช้ให้พร้อม
2 เลือกสถานที่อาบน้ำให้เหมาะสม
3 ทำความสะอาดร่างกายลูกให้ถูกวิธี

การเตรียมอุปกรณ์ ของใช้ให้พร้อม
อุปกรณ์ต่างๆ สำหรับการอาบน้ำลูก เป็นสิ่งจำเป็นต้องเตรียมไว้ และแยกไว้ใช้กับลูกโดย เฉพาะ เช่น อ่างอาบน้ำ ควรเอาไว้ใช้เฉพาะอาบน้ำลูกเท่านั้น ของใช้สำหรับอาบน้ำไม่ว่าจะเป็น สบู่ แชมพู แป้ง ควรเลือกชนิดที่ผลิตสำหรับเด็ก เพราะผิวของลูกอ่อนบาง เกิดการระคายเคือง ได้ง่าย ของใช้อื่นๆ ได้แก่ เครื่องใช้ประเภทผ้า ได้แก่ ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ ใช้ห่อตัวและเช็ดตัว ให้แห้งเมื่อลูกอาบน้ำเสร็จ ผ้าขนหนูผืนเล็กๆ สำหรับชุบน้ำเช็ดตัวลูก เสื้อผ้า ผ้าอ้อม เครื่องใช้ เหล่านี้ต้องคำนึงถึงความสะอาดเป็นสำคัญ

การเลือกสถานที่อาบน้ำให้เหมาะสม


สถานที่อาบน้ำ ควรจัดไว้มุมใดมุมหนึ่งของห้อง อาจอยู่ใกล้ห้องน้ำหรือเป็นบริเวณที่มีก๊อกน้ำ ที่ คุณพ่อคุณแม่จะเปลี่ยนน้ำสำหรับทำความสะอาดลูกได้ โดยไม่ต้องทิ้งลูกไปไกลนัก บริเวณ สำหรับอาบน้ำควรมีพื้นที่พอสมควรที่จะวางของใช้ได้โดยไม่เกะกะ มีที่นอนหรือเบาะเล็กๆ ที่กั้น น้ำได้ สำหรับรองตัวลูกเวลาเช็ดตัว เป็นที่ที่อากาศโปร่งสบาย แต่ลมพัดไม่โกรกมากนัก เพราะ หากเป็นที่ที่ลมพัดมากอาจทำให้ลูกหนาว และเป็นหวัดได้ง่าย

การทำความสะอาดร่างกายลูกให้ถูกวิธี

การเตรียมน้ำ
น้ำที่ใช้ทำความสะอาดร่างกายลูก ควรเป็นน้ำสะอาด ที่มีอุณหภูมิพอเหมาะไม่เย็นเกินไป และ หากอากาศเย็น ควรผสมน้ำอุ่นอาบให้ลูก

การเตรียมตัวลูก
ถอดเสื้อผ้าลูกออก ห่อตัวลูกด้วยผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ ซึ่งนอกจากจะทำให้ลูกอบอุ่นแล้ว ยังเป็น การป้องกันลูกไม่ให้ดิ้นขณะทำความสะอาดร่างกายอีกด้วย

การทำความสะอาดร่างกายลูก
จะเริ่มทำความสะอาดใบหน้าและศีรษะ โดยการเช็ดหน้าและสระผมก่อน

1 ใช้ผ้าขนหนูผืนเล็ก ชุบน้ำบิดหมาดๆ เช็ดหน้าลูกให้สะอาด

2 อุ้มลูกไว้โดยใช้มือรองบริเวณต้นคอของลูก ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วกลางของคุณแม่พับใบหูลูก ไว้ เพื่อกันน้ำเข้าหู แต่หากไม่ถนัดอาจเอาสำลีอุดหูลูกไว้ก็ได้ แขนของคุณแม่อุ้มแนบลำตัวลูก กระชับไว้อย่างมั่นคง ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำบิดน้ำลงบนผมลูกให้เปียกทั่วศีรษะ สระผมด้วยแชมพู 1 ครั้ง โดยใช้ปลายนิ้วคุณแม่นวดหนังศีรษะให้ทั่ว ไม่ต้องเกา เพราะการเกาจะทำให้เกิดแผล ได้ ล้างแชมพูออกด้วยน้ำสะอาด เมื่อสระผมเสร็จเช็ดผมให้แห้งทันที เพราะหากปล่อยให้ผม เปียกอยู่นานจะทำให้ลุกเป็นหวัดได้

3 การทำความสะอาดร่างกายลูก ให้ลูกนอนบนเบาะ หรือที่นอนเล็กที่ เตรียมไว้ คลี่ผ้าเช็ดตัวที่ห่อลูกออก

หากเป็นการเช็ดตัว ใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กชุบน้ำเช็ดตัวลูกให้ทั่ว ฟอกสบู่ แล้วใช้ผ้าชุบน้ำเช็ด คราบสบู่ออกจนร่างกายสะอาด

ถ้าจะอาบน้ำให้ลูก ใช้วิธีการเดียวกัน แต่เมื่อฟอกสบู่ให้ลูกแล้วอุ้มลูกลงแช่น้ำสะอาดในอ่าง เพื่อล้างฟองสบู่ออกแทนการใช้ผ้าเช็ด ในกรณีคุณแม่มือใหม่ที่อุ้มลูกยังไม่ถนัดนัก ควรใช้ผ้า ชุบน้ำเช็ดคราบสบู่ออกเสียครั้งหนึ่งก่อน จึงอุ้มลูกลงอ่าง จะปลอดภัยกว่า เมื่ออาบน้ำลูกสะอาด แล้ว ใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดตัวให้ลูกทันที และห่อตัวลูกให้แน่น

4 หลังการทำความสะอาดร่างกาย หากสายสะดือยังไม่หลุด ต้องเช็ดทำความสะอาดโดยจับสาย สะดือ ยกให้สูงขึ้น แล้วใช้ไม้พันสำลีสะอาดชุบแอลกอฮอล์ 70% สอดเข้าไปเช็ดใต้สายสะดือให้ สะอาด แล้วจึงเช็ดที่สายสะดือและบริเวณรอบๆ สะดือให้สะอาดอีกครั้ง ถ้าสายสะดือหลุดแล้ว แต่ สะดือยังไม่แห้งสนิท ควรทำความสะอาดต่อไปก่อนจนกว่าจะแห้งสนิท จึงเลิกเช็ดได้

5 ก่อนแต่งตัวให้ลูก ถ้าต้องการใช้แป้งทาตัวควรระวังอย่าเทแป้งให้ฟุ้งกระจาย เพราะลูกอาจสูด ฝุ่นแป้งเข้าไปทำให้เกิดการระคายเคืองได้ ควรโรยแป้งลงบนมือคุณแม่ แล้วถูแป้งบนมือก่อน จึงทาตัวลูก และไม่ควรทาแป้งหนาเกินไป เพราะแป้งจะไปอุดรูขุมขนทำให้เหงื่อระเหยออกไม่ ได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดผื่นคันได้

6 แต่งตัวให้ลูกด้วยเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับอากาศ

ในระหว่างการทำความสะอาดร่างกาย ไม่ว่าจะด้วยการเช็ดตัวหรืออาบน้ำก็ตาม คุณพ่อคุณแม่ ควรสังเกตความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นกับอวัยวะต่างๆ ของลูก เช่น ตา หู ปาก ผิวหนัง และอื่นๆ ทั้งนี้เพราะ หากพบสิ่งผิดสังเกต ซึ่งอาจเป็นความผิดปกติ จะได้แก้ไขได้อย่างทันท่วงที

การอาบน้ำให้ลูก ไม่เพียงแต่จะทำให้ลูกสบายกายเท่านั้น แต่การอาบน้ำที่คุณพ่อคุณแม่ทำให้ ลูกด้วยความตั้งใจ ความเต็มใจ ความเอาใจใส่ และด้วยท่าทีที่อ่อนโยน จะทำให้ลูกรับรู้ได้ถึง ความรัก ความอบอุ่น ปลอดภัย มีความสุข และก่อให้เกิดสัมพันธภาพ ลูกจะค่อยๆ รู้จักรักตอบ คุณพ่อคุณแม่ รวมทั้งเป็นรากฐานในการเผื่อแผ่ความรักไปสู่บุคคลอื่นๆ ได้ในที่สุด
WATER BOY KODS MOM CHILD AVENT JOHNSON&JOHNSON BABYMILD

เด็กออทิสติกคือใคร

คำภาษาต่างประเทศคำนี้ สำหรับบุคคลทั่วไปอาจไม่คุ้นเคย แต่สำหรับบุคคลที่เกี่ยวข้อง อาทิบิดามารดา ผู้ปกครอง ครู นักการศึกษาและนักวิชาชีพ คงต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนและลึกซึ้งเพื่อที่จะได้รู้จัก เข้าใจ ธรรมชาติ ลักษณะ บุคลิก จุดเด่น จุดอ่อน และพฤคิกรรมของเด็ก อันจะนำไปสู่การช่วยเหลือในแนวทางที่ถูกต้อง

คำว่า ออทิสติก หรือ ออทิสซึม (Autism) เป็นคำที่ใช้เรียกพฤติกรรม หรืออาการที่เกิดขึ้น มาจากภาษากรีก มีรากศัพท์มาจากคำว่า Auto หรือ Self แปลว่า ตัวเอง ทางการแพทย์ถือว่า ออทิซึม เป็นภาวะความผิด ปกติทางพัฒนาการอย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการในด้านต่างๆ ทั้งด้านภาษา การสื่อสาร การมีปฏิ สัมพันธ์ทางสังคม และพฤติกรรม โดยจะปรากฏให้เห็นได้ในระยะ 3 ปีแรกของชีวิต ซึ่งเป็นผลมาจากความผิดปกติทางหน้าที่ของระบบประสาทบางส่วน

ดังนั้น ศ.พญ.เพ็ญแข ลิ่มศิลา จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จึงนิยามว่า เด็กออทิสติก คือเด็กที่มีความผิดปกติทางพัฒนาการด้านสังคม ภาษา และการสื่อความหมาย พฤติกรรมอารมณ์ และจินตนาการ ซึ่งมีสาเหตุเนื่องมาจากการทำงานในหน้าที่บางส่วนของสมองผิดปกติไป และความผิดปกตินี้จะพบได้ก่อนวัย 30 เดือน

ในทางการศึกษาพิเศษ เด็กออทิสติก จัดเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษกลุ่มหนึ่ง กระบวนการในการช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้กระบวนการหนึ่ง คือ การศึกษา ซึ่งหมายรวมถึง ตั้งแต่การช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม การเตรียมความพร้อม การจัดการศึกษาพิเศษ การเรียนร่วม จนถึงการเตรียมความพร้อมด้านอาชีพ

back



ลักษณะอาการ

The Diagnosis and Statistical Manual, 4th Edition 1994 (DSM IV) ได้อธิบายลักษณะอาการไว้พอสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้


ความบกพร่องทางปฏิสัมพันธ์สังคม

เด็กมีความบกพร่องในการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสิ่งแวดล้อม เช่น ไม่มองสบตา ไม่มีการแสดงออกทางสีหน้า กิริยาท่าทาง จึงไม่มีความสามารถที่จะผูกสัมพันธ์กับใคร เล่นกับเพื่อนไม่เป็น ไม่สนใจที่จะทำงานร่วมกับใคร มักจะอยู่ในโลกของตัวเอง


ความบกพร่องทางการสื่อสาร


เป็นความบกพร่องทั้งด้านการใช้ภาษา ความเข้าใจภาษา การสื่อสาร และสื่อความหมาย ด้านการใช้ภาษา เด็กจะมีความล่าช้าทางภาษาและการพูดในหลายระดับ ตั้งแต่ไม่สามารถพูดสื่อความหมายได้เลย หรือบางคนพูดได้ แต่ไม่สามารถสนทนาโต้ตอบกับผู้อื่นได้อย่างเข้าใจและเหมาะสม บางคนจะมีลักษณะการพูดแบบเสียงสะท้อน หรือการพูดเลียนแบบ ทวนคำพูด หรือบางคนพูดซ้ำแต่ในเรื่องที่ตนเองสนใจ การใช้ภาษาพูดมักจะสลับสรรพนาม ระดับเสียงที่พูด อาจจะมีความผิดปกติ บางคนพูดเสียงในระดับเดียว


ลักษณะทางพฤติกรรมและอารมณ์ที่บกพร่อง


เด็กออทิสติกจะมีพฤติกรรมซ้ำๆ ผิดปกติ เช่น เล่นมือ โบกมือไปมา หรือหมุนตัวไปรอบๆ ยึดติดไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวัน มีความสนใจแคบ มีความหมกมุ่นติดสิ่งของบางอย่าง เด็กบางคนแสดงออกทางอารมณ์ไม่เหมาะสมกับวัย บางครั้งร้องไห้ หรือหัวเราะโดยไม่มีเหตุผล บางคนมีปัญหาด้านการปรับตัวเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมต่างๆ โดยจะอาละวาด หรือแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว เช่น ร้องไห้ ดิ้น กรีดร้อง

ความบกพร่องด้านการเลียนแบบและจินตนาการ

บางคนมีความบกพร่องด้านการเลียนแบบ เด็กบางคนต้องมีการกระตุ้นอย่างมาก จึงจะเล่นเลียนแบบได้ เช่น เลียนแบบการเคลื่อนไหว การพูด บางคนไม่สามารถเลียนแบบได้เลยแม้แต่การกระทำง่ายๆ จากากรขาดทักษะการเลียนแบบ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการเล่น ทำให้เด็กขาดทักษะการเล่น
ในด้านจินตนาการ ไม่สามารถแยกเรื่องจริง และเรื่องสมมุติ ประยุกต์วิธีการจากเหตุการณ์หนึ่งไปอีกเหตุการณ์หนึ่งไม่ได้ เข้าใจสิ่งที่เป็นนามธรรมได้ยาก เล่นสมมุติไม่เป็น จัดระบบความคิด ลำดับความสำคัญก่อนหลัง การวางแผน การคิดจินตนาการจากภาษาได้ยาก ซึ่งส่งผลต่อการเรียน


ความบกพร่องด้านการเรียนรู้ทางประสาทสัมผัส

การใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 การรับรู้ทางสายตา การตอบสนองต่อการฟัง การสัมผัส การรับกลิ่นและรส มีความแตกต่างกันในแต่ละบุคคล บางคนชอบมองวัตถุหรือแสงมากกว่ามองเพื่อน ไม่มองจ้องตาคนอื่น บางคนเอาของมาส่องดูใกล้ๆ ตา บางคนตอบสนองต่อเสียงผิดปกติ เช่น ไม่หันตามเสียงเรียกทั้งที่ได้ยิน บางคนรับเสียงบางเสียงไม่ได้ จะปิดหู ด้านการสัมผัส กลิ่นและรส บางคนมีการตอบสนองที่ไว หรือช้ากว่า หรือแปลกกว่าปกติ เช่น ดมของเล่น หรือเล่นแบบแปลกๆ


ความบกพร่องด้านการใช้อวัยวะต่างๆ อย่างประสานสัมพันธ์


การใช้ส่วนต่างๆ ของร่ากาย รวมถึงการประสานสัมพันธ์ของกลไก กล้ามเนื้อมัดใหญ่และมัดเล็กมีความบกพร่อง บางคนมีการเคลื่อนไหวที่งุ่มง่ามผิดปกติ ไม่คล่องแคล่ว ท่าทางการเดิน หรือการวิ่งดูแปลก การใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก การหยิบจับ เช่นช้อนส้อม ไม่ประสานกัน


ลักษณะอื่นๆ

เด็กออทิสติกบางคนจะมีลักษณะพฤติกรรมอยู่ไม่สุขตลอดเวลา ในขณะที่บางคนมีลักษณะเชื่องช้า งุ่มง่าม บางคนแทบไม่มีความรู้สึกตอบสนองต่อความเจ็บปวด เช่น ดึงผม หรือหักเล็กตนเองโดยไม่แสดงอาการเจ็บปวด


อย่างไรก็ตาม ลักษณะอาการข้างต้น เป็นภาพรวมของเด็กออทิสติก แต่ไม่ได้หมายความว่าเด็กออทิสติกทุกคนต้องมีลักษณะทั้งหมดนี้ เด็กบางคนอาจมีเพียงบางลักษณะ และระดับความมากน้อยก็แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

อีกประการหนึ่ง ในเด็กบางคนจะมีลักษณะพิเศษ กิจกรรมบางอย่างทำได้ดีมาก เช่น สามารถบวกเลขในใจจำนวนมากๆ ได้อย่างรวดเร็ว บางคนมีทักษะทางเครื่องยนต์กลไก หรือบางคนสามารถเปิดปิดเครื่องเล่นวิดีโอเทปได้ก่อนที่จะพูดได้เสียอีก ทั้งนี้ถือเป็นความแตกต่างระหว่างบุคคล

back

สภาพที่เป็นข้อจำกัดต่อการเรียนรู้ของเด็กออทิสติก


ข้อจำกัดของเด็กออทิสติกที่ส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ มีหลายประการ ซึ่งสรุปได้ ดังนี้


ข้อจำกัดด้านภาษาและการสื่อความหมาย
ภาษาประกอบด้วย ความเข้าใจและการพูด การสื่อความหมาย ได้แก่ การแสดงออกด้วยกิริยาท่าทาง เพื่อส่งสารให้ผู้อื่นเข้าใจเจตนาของตน ข้อจำกัดด้านนี้จึงส่งผลที่สำคัญต่อการเรียนรู้ของเด็ก


ข้อจำกัดด้านสังคมและอารมณ์
อาทิการปรับตัวเข้ากับกลุ่ม การมีปฏิสัมพันธ์ในกลุ่ม การควบคุมอารมณ์มารอยู่ร่วม หรือทำกิจกรรมกับกลุ่ม ย่อมส่งผลต่อคุณภาพการเรียนรู้ของเด็ก


ข้อจำกัดด้านพฤติกรรมและพฤติกรรมซ้ำ
เด็กออทิสติกบางคน มีปัญหาพฤติกรรม เช่น ความสนใจสั้น หรือที่เรียกว่า สมาธิสั้น หรือบางคนมีพฤติกรรมซ้ำๆ เป็นพฤติกรรมการกระตุ้นตนเอง เช่น เล่นนิ้วมือตลอดเวลา ส่งเสียงอยู่ในลำคอตลอดเวลา ทำให้เด็กเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวได้จำกัด


ข้อจำกัดด้านการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัส
การตอบสนองหรือการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสที่ผิดปกติ ย่อมส่งผลต่อคุณภาพการรับรู้และเรียนรู้ของเด็ก เช่น การแยกความเหมือนหรือความแตกต่างด้วยสายตา ย่อมส่งผลกระทบต่อการอ่าน


ข้อจำกัดด้านการคิดอย่างมีจินตนาการ

จินตนาการ เป็นการคิดต่อยอดและขยายผล หากเด็กมีข้อจำกัดด้านนี้ การเรียนรู้ย่อมเป็นไปได้ไม่เต็มที่


ข้อจำกัดด้านการเรียนรู้
ในเด็กออทิสติกบางคน ระดับความสามารถในการเรียนรู้ เช่น ทักษะการสังเกต การจับคู่ การจัดลำดับ และอื่นๆ มีความจำกัด ซึ่งส่งผลต่อการเรียนรู้เชิงวิชาการ


ข้อจำกัดด้านพัฒนาการทางกายบางด้าน
การไม่ประสานสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อมือและตา ความไม่คล่องแคล่วของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ การเคลื่อนไหวทางร่างกายที่ดูไม่สมดุล เช่น งุ่มง่าม ทำให้เด็กขาดทักษะการเคลื่อนไหว ทำให้การเรียนรู้บางด้านที่ต้องใช้ทักษะด้านนี้มีความจำกัด เช่น งานการประดิษฐ์ที่มีความละเอียด




back

สาเหตุการเกิด

นปัจจุบัน ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนถึงสาเหตุของการเกิดภาวะออทิซึม แต่มีข้อสันนิษฐานว่า มีปัจจัยหลายประการที่ส่งผลให้ การทำงานในหน้าที่ต่างๆ ของสมองไม่สมบูรณ์แบบหลายประการ เช่น ทางชีววิทยา ปัจจัยด้านความไม่สมดุลของสารเคมีในสมอง ความผิดปกติของสมองด้านการทำงาน การติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์ หรือขณะคลอด (ดังแผนภูมิด้านบน)

back



อัตราการเกิด



หากถือการวินิจฉัยตามเกณฑ์ข้อบ่งชี้พฤติกรรมผิดปกติของษมาคมจิตแพทย์อเมริกัน ครั้งที่ 3 และ 4 (DSM III, IV) จะพบในสัดส่วนประมาณ 4 หรือ 5 คน ในเด็ก 10,000 คน

หากการวินิจฉัยใช้เกณฑ์ "ภาวะออทิสติก สเปคตรัม" หรือรวมกลุ่มแอสเพอร์เกอร์ ซินโดรม จะพบในสัดส่วน 21 ถึง 36 คน ในเด็ก 10,000 คน โดยลักษณะอาการเช่นนี้ ต้องพบก่อนเด็กอายุ 3 ปี และสามารเกิดในเด็กทุกเชื้อชาติ สัญชาติ ฐานะ เพศ แต่ส่วนใหญ่จะพบในเด็กชายมากกว่าเด็กหญิง กล่าวคือในเด็กที่มีอาการออทิสซึ่ม 5 คน จะพบว่าเป็นเด็กผู้ชาย 4 คน ผู้หญิง 1 คน

back



ระดับอาการออทิสติก


ระดับอาการของบุคคลออทิสติก อาจจำแนกระดับอาการกว้างๆ ได้ 3 ระดับ ดังนี้

ระดับกลุ่มที่มีอาการน้อย

เรียกว่า กลุ่ม Mild autism หรือบางครั้งเรียก กลุ่มออทิสติกที่มีศักยภาพสูง (high-functioning autism) ซึ่งจะมีระดับสติปัญญาปกติ หรือสูงกว่าปกติ มีพัฒนาการทางภาษาดีกว่ากลุ่มอื่น แต่ยังมีความบกพร่องในทักษะด้านสังคม การรับรู้อารมณ์ ความรู้สึกของบุคคลอื่น ในปัจจุบันมีผู้เรียกเด็กกลุ่มนี้อีกชื่อหนึ่งว่า แอสเพอร์เกอร์ - Asperger Syndrome ตามชื่อแพทย์ผู้ค้นพบ ซึ่งถือว่าเป็นประเด็นทางวิชาการ ในการแจวรายละเอียดของปัญหาเพื่อกำหนดแนวทางการช่วยเหลือที่ชัดเจนขึ้น แต่โดยสภาพพื้นฐานความต้องการจำเป็นทั้งกลุ่มออทิสติกที่มีศักยภาพสูง กับกลุ่ม แอสเพอร์เกอร์ ไม่มีความแตกต่างกันมากนัก


ระดับกลุ่มที่มีอาการปานกลาง
เรียกว่า กลุ่ม Moderate autism ในกลุ่มนี้จะมีความล่าช้าในพัฒนาการด้านภาษาการสื่อสาร ทักษะสังคม การเรียนรู้ รวมทั้งด้านการช่วยเหลือตนเอง และมีปัญหาพฤติกรรมกระตุ้นตนเองพอสมควร


ระดับกลุ่มที่มีอาการรุนแรง
เรียกว่ากลุ่ม Severe autism ในกลุ่มนี้จะมีความล่าช้าในพัฒนาการเกือบทุกด้าน และอาจเกิดร่วมกับภาวะอื่น เช่น ปัญญาอ่อนรวมทั้งมีปัญหาพฤติกรรมที่รุนแรง




back

วิธีสังเกตเด็กออทิสติก


การสังเกตว่าเด็กคนใด มีพฤติกรรมที่น่าสงสัยว่า เป็นเด็กที่มีภาวะออทิสติกหรือไม่ เครื่องมือใช้ตรวจสอบ คือ แบบสังเกตพฤติกรรม

เมื่อผู้ปกครอง พาเด็กไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แพทย์จะดำเนินกระบวนตามสภาพความต้องการของเด็กแต่ละคน ซึ่งพอประมวลสรุปขั้นตอนได้ ดังนี้

แพทย์ซักถาม สัมภาษณ์ บิดามารดา หรือผู้ดูแล ถึงพฤติกรรมต่างๆ
ส่งตรวจสอบการได้ยิน เพื่อทดสอบระบบการได้ยิน
ส่งตรวจสอบทางการแพทย์อื่น ตามความจำเป็นและเหมาะสม
วินิจฉัยเพื่อการกำหนดแนวทางการช่วยเหลือ
ให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับการอบรมเลี้ยงดู รวมทั้งกำหนดโปรแกรม
ให้ยา ตามความจำเป็นของพฤติกรรม


ในฐานะของครูหรือบิดามารดา ผู้ปกครอง อาจตรวจสอบพฤติกรรมเบื้องต้นของเด็กในความดูแลด้วยตนเองได้ และนำข้อมูลที่ได้จากการสังเกตไปขอรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำปรึกษาเพิ่มเติม

บทความนี้นำเสนอแบบตรวจสอบง่ายๆ ในลักษณะการตรวจรายการพฤติกรรม ซึ่งพัฒนาจากแบบสังเกตของ

1 Dr. Je. Gillaim "Autism Rating Scale" 1989
2 Dr. Rendle Shot Bisbane Children's Hospital, University of Queensland, Australia, 1997

อย่างไรก็ตาม พึงตระหนักว่า การวินิจฉัยภาวะออทิซึม จิตแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นที่จะเป็นผู้วินิจฉัย

แบบตรวจสอบที่นำเสนอ เพื่อช่วยให้ครูหรือบิดามารดา สามารถสังเกตพฤติกรรมที่น่าสงสัยของเด็กเพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น อันจะนำไปสู่การช่วยเหลือระยะเริ่มแรกได้ โดยเครื่องมือนี้เน้นการสังเกตพฤติกรรมอย่างต่อเนื่อง

back



แบบตรวจสอบพฤติกรรมเด็กออทิสติก
คำชี้แจง



สังเกตพฤติกรรมแล้วบันทึกลงในช่องที่พบ โยพฤติกรรมดังกล่าวจะต้องเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำ โดยใส่เครื่องหมาย a(ถูก) เมื่อพบ และใส่เครื่องหมาย X (ผิด)เมื่อไม่พบ
การรวมคะแนน หากคะแนนที่พบเกิน 12 คะแนน มีแนวโน้มน่าสงสัย
แบบตรวจสอบพฤติกรรมนี้ ใช้เพื่อตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น อันจะนำไปสู่การช่วยเหลือระยะเริ่มแรกเท่านั้น ไม่ใช่การวินิจฉัย


ชื่อผู้รับการสังเกต …………………………………………….

ชื่อผู้สังเกต …………………………………………………

วันที่สังเกต ………………………………………………..

รายการ


ก. พฤติกรรมทางสังคม


ไม่มองสบตา
ไม่ชอบการโอบกอด
ไม่เลียนแบบการเล่นของเด็กอื่น
มองผ่านหรือมองคนอื่นเหมือนไม่รับรู้ว่ามีคนอยู่ตรงนั้น
แยกตัวออกจากกลุ่ม
ยึดมั่นเรื่องที่สนใจเรื่องเดียว
รู้สึกวิตกกังวลเมื่อเปลี่ยนกิจกรรมที่ทำอยู่เป็นประจำ
เรียงลำดับวัตถุในแบบเดิมๆ หากมีการเคลื่อนย้ายจะไม่พอใจ
หัวเราะหรือร้องไห้อย่างไม่มีเหตุผล
ซนผิดปกติหรือนั่งนิ่งผิดปกติ
ชอบเล่นหมุนวัตถุ ปั่นวัตถุ

ข. การสื่อความหมาย


ไม่สามารถพูดออกเสียงเป็นคำที่มีความหมาย
ใช้ท่าทางแทนที่จะใช้คำพูดเมื่อต้องการสิ่งใด
พูดเลียนเสียงผู้พูด ทวนคำหรือวลี
พูดคำซ้ำต่างๆ จากหนังสือหือสิ่งที่เคยได้ยินมา เช่นพูดตามโฆษณาทีวี ไม่
ไม่สามารถเริ่มต้นบทสนทนากับเพื่อหรือผู้ใหญ่ได้
ไม่ตอบสนองเสียงเรียก ทำคล้ายไม่ได้ยิน

ค. พฤติกรรมการกระตุ้นตนเอง


มีพฤติกรรมซ้ำๆ
สะบัดนิ้วมือหรือเล่นมือประจำ
จ้องมองมือหรือวัตถุสิ่งของที่อยู่รอบตัวครั้งละ 5 วินาที หรือนานกว่านั้น
หมุนตัว นั่ง หรือโยกตัวไปมาเป็นวงกลม
นั่งหรือยืนโยกหน้า โยกหลัง
เดินเขย่งปลายเท้า
วิ่งถลาหรือพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วจากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่ง


รวมคะแนน ข้อที่พบ …………… คะแนน

รวมคะแนน ข้อที่ไม่พบ ………… คะแนน

แนวทางช่วยเหลือ / การให้คำปรึกษา

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………


ลงชื่อ ………………………ผู้บันทึกข้อมูล

(วันที่ที่บันทึก…………)

พบ ไม่พบ

หมายเหตุ พัฒนาจากแบบสังเกตของ

1 Dr. Je. Gillaim "Autism Rating Scale" 1989
2 Dr. Rendle Shot Bisbane Children's Hospital, University of Queensland, Australia, 1997

ชูศักดิ์ จันทยานนท์ 2542

back

ที่มาข้อมูล: ตัดทอนบางส่วนจาก "การเรียนรู้ของเด็กออทิสติก" โดยชูศักดิ์ จันทยานนท์* เอกสารประชาสัมพันธ์ ลำดับที่ 06/2542 โรงเรียนอนุบาลจันทยานนท์ 140/47 แขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพหานคร โทร 0-2411-2899

*นายกสมาคมผู้ปกครองบุคคลออทิซึม (ไทย) และผู้อำนวยการโรงเรียนจันทยานนท์

ข้อมูลเพิ่มเติม:
การสมัครสมาชิกสมาคมฯ เขียนชื่อ ที่อยู่ ให้ชัดเจน ส่งมาที่


สมาคมผู้ปกครองบุคคลออทิซึม (ไทย)
140/47 แขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพหานคร 10700
โทร 0-2411-2899 โทรสาร 0-2866-5729

ผู้เชี่ยวชาญ แนะทารกควรออกกำลังกาย



การที่จะให้ทารกน้อยออกกำลังกายไม่ใช่เรื่องยากเลย เพียงแค่ปล่อยให้ทารกวัย 3 เดือนนอนหงายสักครู่ แล้วดูทารกน้อยพยายามที่จะผงกหัวตัวเองขึ้นมา หรือจับมือลูกตบเบาะเบาๆ หรือหาสถานที่ที่มี เฟอร์นิเจอร์แข็งแรงให้ลูกเกาะยืน ไต่ไปตามเฟอร์นิเจอร์นั้นสักครู่ ในไม่ช้าก็จะช่วยให้ลูกวัยกำลัง คลานเปลี่ยนจากคลานมาเป็นเดินเตาะแตะได้ ทั้งนี้ มีเด็กทารกหลายคนถูกทิ้งให้อยู่ในรถเข็นเด็ก, เพลย์เพน หรือเบาะนั่งสำหรับเด็กนานเกินไป ทำให้ไม่ได้ออกกำลังกาย หรือเคลื่อนไหวไปตาม ที่ต่างๆได้

หน่วยงานชื่อ the National Association for Sport and Physical Activity แห่ง สหรัฐฯ ออกประกาศให้คำแนะนำแก่บรรดาพ่อแม่ผู้ปกครอง, ศูนย์รับเลี้ยงเด็กทั่วประเทศว่า เด็กวัยทารก, วัยกำลังคลาน และเด็กวัยก่อนและวัยเข้าอนุบาลควรได้รับการออกกำลังกายอย่างง่ายๆ ทุกวัน เหมือนเป็นการสะสมพัฒนาการให้ค่อยเป็นค่อยไป เช่น หัดเดิน หัดวิ่งและหัดทำกิจกรรม อย่างที่ผู้ใหญ่ทำได้ พ่อแม่ผู้ปกครองหลายรายคิดว่า ทักษะของพัฒนาการเด็กเช่น การกลิ้งตัว, การนั่ง หรือเดินนั้น เมื่อถึงเวลา เด็กก็จะทำได้เองตามธรรมชาติ ซึ่งก็เป็นความจริง แต่ว่า พ่อแม่ควรตระเตรียมสภาพแวดล้อม สถานที่ภายในบ้านให้พร้อมสำหรับลูกได้มีโอกาสฝึก ทักษะเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอเพื่อให้สมองได้สื่อมายังกล้ามเนื้อเพื่อพัฒนาทักษะทางกาย

Jim Pivarnik, Exercise Physiologist of Michigan State University หนึ่งใน ผู้ที่ร่างคำแนะนำนี้ ระบุเพิ่มเติมว่า พ่อแม่บางรายต้องการทำบ้านให้ปลอดภัยสำหรับลูกทุก กระเบียดนิ้ว ซึ่งไม่ผิดประการใด แต่นอกจากทำบ้านให้ปลอดภัยสำหรับลูกแล้ว ต้องปล่อย ให้ลูกได้มีโอกาสคลาน, เกาะเดิน หรือ กลิ้งตัวเล่นตามพื้นบ้างเพื่อให้เด็กได้รู้จักการแสวงหา ค้นคว้า แสดงความสงสัย และอยากผจญภัยด้วยตัวเอง สรุปคือให้ลูกได้เคลื่อนไหวไปมาด้วย ตัวเองภายในบริเวณบ้าน โดยมีพ่อแม่คอยดูแลอยู่ใกล้ๆ เพื่อความปลอดภัย

ในคำแนะนำนี้ ไม่มีผู้ใดระบุถึงการพาลูกไปเข้าคลาสเบบี้ยิม เพราะการให้เด็กวัยดังกล่าว ออกกำลังกายเป็นเรื่องที่ง่ายๆ สนุกๆ อยู่ในวิถีชีวิตประจำวันอยู่แล้ว และหวังว่าเด็กเหล่านี้เมื่อ โตขึ้นจะไม่กลายเป็นส่วนหนึ่งของเด็กอ้วน ซึ่งเป็นปัญหาในปัจจุบันนี้ ยกตัวอย่างเช่น เด็ก ทารกที่ถูกจับให้นั่งเก้าอี้เด็กอ่อน นั่งมองตุ๊กตาแขวนตรงหน้าทั้งวัน อาจจะพลิกตัวช้ากว่า ทารกที่ใช้เวลาส่วนใหญ่เหยียดแขน เหยียดขา แกว่งแขนเล่นอยู่บนผ้าห่มปูพื้นบ่อยๆ

สำหรับเด็กวัย 2 ขวบ - โยนรับลูกบอลล์เล่นกับเด็ก จะช่วยให้เด็กมีพัฒนาการทางกาย ก้าวหน้า พร้อมที่จะก้าวสู่พัฒนาการอีกขั้นได้อย่างรวดเร็ว ลูกบอลล์ที่หามาก็ไม่จำเป็นต้อง ราคาแพง เพียงแค่ลูกบอลล์นิ่มๆ ไม่ไปกระทบกับข้าวของแล้วทำให้แตกหัก อาจใช้ถุงน่อง คุณแม่ที่เลิกใช้แล้ว ซักให้สะอาดนำมาขดผูกให้เป็นก้อนกลมๆ ก็ใช้โยนรับกับลูกได้ หรือ ใช้กระดาษขยำม้วนเป็นก้อนกลมแล้วใช้สก็อตช์เทปพันทับก็ใช้ได้เช่นกัน (ระวังอย่าให้ลูก
แกะสก็อตช์เทปเอาเข้าปากเล่น)

บางครั้งการที่เด็กวัยทารก หรือวัยก่อนอนุบาลเหล่านี้เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ทำให้พี่เลี้ยง เด็ก หรือคุณพ่อคุณแม่คิดว่าเด็กมีกิจกรรม และได้ออกกำลังกายตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่ว่า ปัจจุบันทั้งทีวีและวิดีโอเกมเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเด็กมาก ทำให้เด็กเหล่า นี้นั่งดูอยู่กับที่ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวเท่าที่ควร และบางครั้งลูกอาจจะนั่งดูทีวีนานกว่าที่พ่อ แม่คิดก็ได้ เพราะไม่ได้จับเวลาไว้ทุกครั้ง นอกจากนั้น กิจกรรมสำหรับเด็กแต่ละวัยก็ แตกต่างกันไปเช่นกันเพื่อให้เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กแต่ละวัย


ข้อแนะนำในการกระตุ้นให้เด็กทารก
และวัยอนุบาลได้ออกกำลังกาย
1) พ่อแม่หรือพี่เลี้ยงเด็กควรเปิดโอกาสให้เด็กเคลื่อนไหวไปมา ทำกิจกรรมต่างๆจนเป็น ส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเด็ก เช่น เล่นจ๊ะเอ๋, จับมือแกว่งไปมาเบาๆ จ้องหน้าพูดคุย กับเด็ก อุ้มพาเดินดูสิ่งต่างๆ ในบ้าน ชมนกชมไม้หน้าบ้าน ให้เด็กได้เห็นวิว หรือสภาพ แวดล้อมแปลกใหม่ ไม่ซ้ำซากจำเจ

2) อย่าปล่อยให้เด็กนั่งเก้ารถเข็น เก้าอี้เด็ก หรืออยู่ในที่จำกัดครั้งละนานๆ ถ้าลองสังเกตดู จะเห็นว่า ทารกวัยน้อยๆ สามารถเคลื่อนไหวร่างกายด้วยท่าทางที่แตกต่างกันเมื่ออยู่บน ผ้าห่มปูพื้น และเมื่ออยู่บนเบาะนั่งสำหรับเด็ก

3) เด็กวัยหัดเดินควรได้เคลื่อนไหวร่างกายเพื่อออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที และ 1 ชั่วโมงสำหรับเด็กวัยเตรียมอนุบาลในแต่ละวัน โดยกิจกรรมอาจจะเป็น เต้นหรือทำ ท่าทางประกอบการร้องเพลง, วิ่ง ไล่จับลูกบอลล์, โยน รับบอลล์, - สำหรับเด็กโต หรือ เกม / กิจกรรมต่างๆ ที่ช่วยให้เด็กมีทักษะการทรงตัว และช่วยให้กล้ามเนื้อพัฒนาขึ้น

4) เด็กวัยหัดเดินและวัยเตรียมอนุบาลควรใช้เวลาวันละอย่างน้อย 1 ชั่วโมงในการเล่น อย่างเป็นอิสระ ค้นคว้า, ทดสอบ, ทดลองสิ่งต่างๆ ที่เขาสนใจ หรือเลียนแบบการกระทำ ของพ่อแม่ ผู้ใกล้ชิด ดังนั้น พี่เลี้ยงเด็กหรือพ่อแม่ควรหาวัสดุอุปกรณ์ของเล่นที่เด็ก สามารถขึ้นไปขี่, ผลัก, ดึง, ทรงตัว หรือปีนป่ายได้อย่างปลอดภัย

5) เด็กวัยดังกล่าวไม่ควรถูกจำกัดสถานที่ หรือนั่งอยู่กับที่เป็นเวลานานเกิน 1 ชั่วโมง ยกเว้นขณะนอนหลับ

การที่เด็กได้ออกกำลังกายนั้น ไม่ควรนำมาใช้เพื่อต้องการทำโทษเด็ก หรือบังคับให้เด็ก ทำโดยฝืนใจ ควรเป็นไปด้วยความสมัครใจและสนุกสนาน ที่สำคัญควรบรรจุกิจกรรม ให้เด็กได้เคลื่อนไหวร่างกายโดยเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของเด็ก พี่เลี้ยงเด็กและ พ่อแม่ควรร่วมสนุกกับเด็กในการทำกิจกรรมด้วย อย่าเพียงแต่นั่งดูเด็กเล่นอยู่เฉยๆ คนเดียวตามลำพัง

BMW TOYOTA YAMAHA CITIBANK

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

เมื่อลูกไม่ดูดนมแม่ (new)



อันนี้สำหรับกรณีของลูกแรกคลอดนะคะ เมื่อลูกไม่ยอมดูดนมจากเต้านั้น ส่วนใหญ่เป็นเพราะท่าทางการดูดไม่ถูกต้อง ทำให้ดูดแล้วไม่ได้น้ำนม เมื่อไม่ได้น้ำนม ลูกก็จะหงุดหงิดและปฏิเสธเต้าแม่ ซึ่งทำให้ทำให้แม่เข้าใจผิดว่าไม่มีน้ำนม เวลาที่ลูกดูดไม่ถูกต้อง เค้าจะไม่ได้น้ำนมค่ะ ทั้งๆ ที่แม่มีนมอยู่เต็มเต้า แต่ลูกดูดไม่ออก เพราะฉะนั้นต้องแก้ด้วยการดูดให้ถูกวิธี ไม่ใช่แก้ด้วยการเสริมนมขวดนะคะ การสอนให้ลูกดูดนมให้ถูกต้องควรจะเป็นสิ่งที่โรงพยาบาล "ต้อง" ฝึกให้แม่ทุกคนทำได้ก่อนจะให้กลับบ้านเลยนะคะ แต่ในความเป็นจริงแล้วมีน้อยเหลือเกินที่จะให้ความใส่ใจกันในเรื่องนี้ อย่าบ่นเลยดีกว่า เอาเป็นว่า คุณแม่ท่านใดที่มีปัญหาเรื่องลูกไม่ยอมดูดจากเต้า ก็ลองดูได้นะคะ ว่าลูกเราดูดได้ถูกต้องหรือเปล่า

เนื่องจากไฟล์แต่ละอันขนาดใหญ่มาก หลาย MB ถ้าจะ download ได้ คงต้องเป็น Hi-Speed นะคะ ตาม link ข้างล่างนี้ไปเลยค่ะ เริ่มจาก First Latch ก่อนเลยนะคะ

Dr. Jack's VDO Clips



อย่าลืมอ่านบทความเรื่อง "สัมผัสรักระหว่างแม่ลูก" ประกอบด้วยค่ะ

เพิ่มเติมบทความของ Dr.Jack เกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งแม่ต่ายกรุณาสละเวลาแปลให้ค่ะ

ทำไมทารกถึงปฏิเสธที่จะดูดนม

มีสาเหตุหลายอย่างที่ทำให้ทารกไม่ยอมดูดนม ส่วนใหญ่แล้วการที่ทารกไม่ยอมดูดนม มักจะเกิดขึ้นจากสาเหตุมากกว่าหนึ่งอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ทารกที่มี พังผืดใต้ลิ้น อาจจะยอมดูดนมแม่แต่โดยดีหากไม่มีปัจจัยอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่หากทารกได้รับนมขวดตั้งแต่หลังคลอดใหม่ ๆ นมแม่สำหรับเขาแล้วก็อาจจะกลายสภาพจากอะไรที่ "ดีพอใช้" เป็น "ใช้ไม่ได้เลย" ไปได้

ถ้าหัวนมแม่ใหญ่มาก มีลักษณะบุ๋ม หรือบอด จะทำให้การดูดนมทำได้ยากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้เลย

ทารกบางคนไม่เต็มใจที่จะดูดนม หรือดูดนมได้ไม่ดีเนื่องจากได้รับผลกระทบจากยาที่ได้รับระหว่างการคลอด ในหลายกรณีมีสาเหตุมาจากยาระงับความเจ็บปวด โดยเฉพาะยาแก้ปวด Meperidine (Demerol) ซึ่งจะตกค้างในกระแสเลือดของทารกเป็นเวลานาน และมีผลต่อการดูดนมของทารกอยู่เป็นเวลาหลายวัน แม้แต่มอร์ฟีนที่ให้ในการบล็อคหลังก็อาจมีผลให้ทารกไม่ยอมดูดนมได้ เพราะยาที่ให้ในการบล็อคหลังจะเข้าไปในกระแสเลือดของแม่ และผ่านไปยังทารกก่อนที่จะคลอดออกมา

การใช้เครื่องมือดูดทารกออกมาในการคลอดก็อาจมีผลให้ทารกดูดนมได้ไม่ดี หรือไม่อยากดูดนมได้ ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องใช้เครื่องดูดนี้ในกรณีที่ทารกคลอดครบกำหนดและแข็งแรงดี

ความผิดปกติของปากก็อาจเป็นสาเหตุให้ทารกไม่ยอมดูดนม การมีเพดานปากโหว่ ไม่ใช่อาการปากแหว่ง เป็นสาเหตุที่ทำให้ทารกดูดนมได้อย่างยากลำบาก ซึ่งบางครั้งอาการเพดานปากโหว่ก็สังเกตเห็นได้ยาก เพราะเกิดขึ้นกับส่วนที่อยู่ภายในปากของทารก

พังผืดใต้ลิ้น (เนื้อเยื่อสีขาวที่อยู่ใต้ลิ้น) อาจมีผลให้ทารกดูดนมได้ยาก พังผืดนี้ไม่ถือว่าเป็นความผิดปกติ หมอจำนวนมากจึงไม่เชื่อว่ามันกระทบต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ทั้งที่จริง ๆ แล้วมันมีผล ทารกเรียนรู้การดูดนมแม่ด้วยการดูดจริง หัวนมที่ทำเทียมขึ้นจึงมีส่วนขัดขวางการดูดนมจากเต้าของทารก ถ้าน้ำนมที่ได้รับจากเต้านมแม่ไหลช้า (ดังที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามวันแรกหลังการคลอด) ในขณะที่นมที่ได้จากขวดไหลเร็ว ทารกจำนวนมากจะเรียนรู้ความแตกต่างนี้ได้อย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดที่ทำให้ทารกปฏิเสธการดูดนมมาจากความเชื่อผิด ๆ ที่ว่า ทารกในช่วงสองสามวันแรกของชีวิตจะต้องดูดนมแม่ทุก 3 ชั่วโมง หรือกี่ชั่วโมงก็แล้วแต่ตามตารางเวลาที่กำหนด เมื่อทารกไม่ดูดนมตามเวลาที่กำหนด เช่น สามชั่วโมงภายหลังการคลอด จึงมักก่อให้เกิดความวิตกกังวลขึ้น และบ่อยครั้งที่มีการบังคับให้ทารกดูดนมทั้งที่ยังไม่พร้อม จึงไม่น่าแปลกใจที่เมื่อถูกบังคับให้ดูดนมแม่เมื่อยังไม่ต้องการหรือยังไม่พร้อม ทารกบางคนจะเกิดอาการเกลียดเต้านมไปเลย ถ้าความเชื่อผิด ๆ อันนี้ส่งผลให้เกิดความตื่นตระหนกขึ้นว่า "ทารกต้องได้รับอาหาร" ก็อาจมีความพยายามใช้วิธีอื่นในการป้อนทารก (ที่แย่ที่สุดก็คือการใช้ขวดนม) ส่งผลให้สถานการณ์แย่ลง และเป็นจุดเริ่มต้นของวงจรอุบาทว์ในที่สุด

ไม่มีหลักฐานอะไรบ่งชี้ว่าทารกคลอดครบกำหนดที่แข็งแรงจะต้องได้รับอาหารทุก ๆ สามชั่วโมงในช่วงสองถึงสามวันแรกหลังคลอด และก็ไม่มีข้อพิสูจน์อะไรว่าทารกจะมีระดับน้ำตาลต่ำหากไม่ได้รับอาหารทุกสามชั่วโมง (ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเป็นเรื่องของความวิตกกังวลเกินกว่าเหตุที่แพร่หลายอย่างกว้างขวางในการดูแลเด็กแรกเกิด ทั้ง ๆ มันมีที่มาจากความเป็นจริงเพียงแค่บางส่วน และบางครั้งกลับนำไปสู่ปัญหามากกว่าป้องกันปัญหา ซึ่งรวมไปถึงปัญหาที่ทารกจำนวนมากได้รับนมผสมโดยไม่จำเป็น ถูกแยกจากแม่โดยไม่มีเหตุผลสมควร และไม่ยอมดูดนม

ทารกควรได้อยู่กับแม่ ได้รับการกอดให้ผิวของทารกแนบสัมผัสกับผิวของแม่โดยตรงตลอด 24 ชั่วโมงในหนึ่งวัน การให้ทารกได้อยู่กับแม่โดยผิวหนังแนบสัมผัสกันโดยตรงทันทีหลังจากคลอดออกมา จะช่วยให้ทารกและแม่มีเวลาในการ "ค้นพบ" กันและกัน และป้องกันปัญหาทารกไม่ยอมดูดนมได้เป็นส่วนใหญ่ การให้ผิวหนังของทารกสัมผัสกับผิวของแม่ยังช่วยให้ร่างกายของทารกได้รับความอบอุ่นเหมือนกับการอยู่ภายใต้โคมไฟให้ความร้อนอีกด้วย

การให้ทารกได้อยู่กับแม่เป็นเวลา 5 นาทีไม่ใช่ทางออกของปัญหา ทารกและแม่ควรได้อยู่ด้วยกันจนกว่าทารกจะดูดนมเอง ไม่มีความกดดันใด ๆ ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา ("เราต้องชั่งน้ำหนักเด็ก" "เราต้องให้วิตะมินเคกับเด็ก" หรือขั้นตอนอื่น ๆ เรื่องพวกนี้สามารถรอได้) ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลา 1-2 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น

แต่ทารกก็ยังไม่ยอมดูดนม

เอาล่ะ ทีนี้มาถึงคำถามที่ว่าเราควรจะรอกันนานแค่ไหน คำถามนี้ไม่มีคำตอบที่ชัดเจนตายตัว ถ้าทารกยังไม่แสดงทีท่าว่าอยากจะดูดนมภายใน 12-24 ชั่วโมงหลังคลอด แน่นอนว่าก็น่าจะมีการลองทำอะไรบางอย่าง ส่วนใหญ่ก็เนื่องมาจากเหตุผลที่ว่านโยบายของโรงพยาบาลมักจะให้แม่กลับบ้านได้ภายใน 24-48 ชั่วโมง


แล้วมีอะไรบ้างล่ะที่พอจะทำได้

แม่ควรเริ่มบีบน้ำนมของตัวเอง และนำน้ำนมเหลือง (colostrum) ที่บีบได้ จะเป็นนมอย่างเดียวหรือผสมกับน้ำผสมน้ำตาลก็ได้ ป้อนให้แก่ทารก ถ้าให้ดีควรป้อนโดยใช้เทคนิค Finger Feeding (การป้อนโดยใช้นิ้วร่วมกับอุปกรณ์ที่เรียกว่า Lactation Aid หมายเหตุ : มีผู้ผลิตอุปกรณ์ Finger Feeding ขายอยู่เหมือนกันค่ะ แต่สำหรับการใช้ระยะสั้นแบบนี้ ใช้ช้อนป้อนก็น่าจะพอแทนได้)
ถ้ายังบีบน้ำนมเหลืองไม่ค่อยออก (ส่วนใหญ่การใช้มือบีบจะดีกว่าปั๊มในช่วงสองสามวันแรกหลังคลอด) จะใช้น้ำผสมน้ำตาลอย่างเดียวไปก่อนในช่วงสองสามวันแรกก็ได้ ทารกส่วนใหญ่จะเริ่มดูด และหลายคนจะตื่นตัวมากพอที่จะพยายามไปหาเต้านมแม่

ทันทีที่ทารกเริ่มดูดได้ดี ให้หยุดป้อนโดย Finger Feeding และให้ทารกลองดูดนมจากเต้า Finger Feeding เป็นขั้นตอนที่ช่วยเตรียมทารกให้ดูดนมจากเต้า ไม่ใช่วิธีที่มีวัตถุประสงค์เบื้องต้นเพื่อหลีกเลี่ยงการให้นมขวด ถึงแม้ว่ามันจะช่วยขจัดความจำเป็นในการให้นมขวดไปด้วยในตัวก็ตาม ดังนั้น จึงเป็นเทคนิคที่ถูกนำมาใช้ก่อนการพยายามให้ทารกดูดนมจากเต้า เพื่อช่วยในการเตรียมทารกให้พร้อมก่อนการดูดนมแม่ ดู handout #8 Finger Feeding (ยังไม่ได้แปล)
ก่อนที่แม่และทารกจะได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน ควรจัดให้แม่และลูกได้รับความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญอย่างช้าที่สุดไม่เกินภายในวันที่สี่หรือห้าหลังการคลอด ทารกจำนวนมากที่ไม่สามารถดูดนมได้ในช่วงสองถึงสามวันแรกจะสามารถดูดนมได้อย่างดีเมื่อน้ำนมแม่มามากขึ้น ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นประมาณวันที่สามหรือสี่หลังคลอด การจัดให้มีการให้ความช่วยเหลือในช่วงระหว่างนี้จะช่วยป้องกันความผิดพลาดในการดูดนมของทารกที่อาจเกิดขึ้นได้เมื่อเวลาผ่านไป
การใช้ Nipple Shield (แผ่นซิลิโคนป้องกันหัวนมแตก หรือใช้ติดเพื่อช่วยสำหรับผู้ที่มีหัวนมบอด) ก่อนที่น้ำนมแม่จะมามาก (วันที่ 4 ถึง 5) เป็นการกระทำที่ผิด การเริ่มใช้ Nipple Shield ก่อนที่น้ำนมจะมาเป็นการไม่ให้โอกาสได้ทดลองดูว่ามันจำเป็นหรือไม่ นอกจากนี้ หากใช้โดยไม่เหมาะสม (ดังที่ผู้เขียนพบอยู่เป็นประจำ) สามารถทำให้น้ำนมแห้งไปได้อย่างน่าตกใจ

ดิฉันกลับจากโรงพยาบาลมาอยู่บ้านแล้ว ลูกไม่ยอมดูดนม ดิฉันจะทำอย่างไรดี

ปัจจัยสำคัญที่สุดเพียงอย่างเดียวที่ส่งผลให้ทารกยอมดูดนมหรือไม่ก็คือ แม่ต้องมีน้ำนมมากเพียงพอ หากแม่มีน้ำนมมากมายเหลือเฟือ ไม่ว่าจะอย่างไรทารกจะยอมดูดนมเองในช่วงอายุ 4-8 สัปดาห์ สิ่งที่พวกเราที่คลีนิคให้คำปรึกษาพยายามจะทำก็คือ การช่วยให้ทารกดูดนมเร็วขึ้น เพื่อจะได้ไม่ต้องรอเป็นเวลานานขนาดนั้น

ดังนั้น การพยายามให้แม่มีน้ำนมมากพอมีความสำคัญกว่าการหลีกเลี่ยงขวดนม ขวดนมมีส่วนขัดขวางการดูดนมแม่ และหากสามารถใช้วิธีอื่น (เช่นป้อนจากถ้วย) ก็จะดีกว่า แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าคุณไม่มีทางเลือก คุณก็ควรจะทำ
ศึกษาท่าทางการให้นมที่ถูกต้องจากผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรงที่มีประสบการณ์ เมื่อทารกเริ่มดูดนม ให้บีบเต้านมเพื่อให้น้ำนมพุ่งเขปาก. และลองให้ดูดจากเต้าที่เขาชอบหรือจากเต้าที่มีน้ำนมมากกว่าก่อน ไม่ควรเริ่มจากเต้าที่ทารกแสดงอาการต่อต้าน

ถ้าทารกยอมอ้าปากอมหัวนม เขาจะเริ่มดูดและกลืนนม

หากทารกไม่ยอมดูดนม อย่าบังคับ นั่นไม่ใช่วิธีที่ได้ผล (ดูเพิ่มเติม ลูกได้นมพอหรือไม่) ทารกอาจจะหัวเสียหรือไม่ก็แสดงอาการหมดเรี่ยวแรงไปเลย อุ้มเขาออกจากอกและเริ่มต้นใหม่ การอุ้มทารกเข้า-ออก เข้า-ออกจากอกหลาย ๆ ครั้งจะดีกว่าการบังคับให้เขาอยู่กับอกเมื่อเขาไม่ยอมดูดนม หากทารกยอมเข้าหาเต้านมแม่และดูดเพียงคำหรือสองคำ นั่นก็คือเขาไม่ยอมดูดนม

ถ้าทารกปฏิเสธเต้านม อย่ายืนกรานให้ดูดให้ได้จนเขาโกรธ ลองใช้เทคนิค Finger Feeding เป็นเวลาตั้งแต่สองสามวินาทีจนถึงหนึ่งหรือสองนาทีแล้วเริ่มต้นใหม่ โดยอาจลองเปลี่ยนไปให้จากเต้าอีกข้างดู เราใช้ Finger Feeding เพื่อเตรียมทารกให้ดูดนมจากเต้า ไม่ใช่เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ขวด ถ้าทารกยังคงไม่ยอมดูดนม ท้ายที่สุดแล้วให้จบมื้อนั้นโดยการป้อนด้วยวิธีอะไรก็ได้ที่ง่ายที่สุดสำหรับคุณ

การใช้ Lactation Aid ในขณะที่ทารกดูดนมจากเต้าอาจจะช่วยได้ แต่มักจะจำเป็นต้องใช้มือเพิ่มมาอีกข้างสำหรับอุปกรณ์ หลังจากคลอดประมาณสองสัปดาห์ สิ่งที่คุณทำในช่วงที่ผ่านมามักจะทำให้ทารกรับรู้ได้แล้วว่า "เรื่องแบบนี้มีวิธีทำได้หลายวิธี ถ้าคุณเคยป้อนโดยวิธี Finger Feeding เพียงอย่างเดียว ในบางกรณีการเปลี่ยนไปป้อนด้วยแก้วหรือขวดอาจจะได้ผล หรือบ่อยครั้งที่การใช้ Nipple Shield จะใช้ได้ผล ถ้าคุณเคยป้อนด้วยขวดเพียงอย่างเดียว การเปลี่ยนไปป้อนโดย Finger Feeding ก็อาจจะได้ผล (การพยายามป้อนนมจากเต้าก็ใช้ได้หากการใช้ Finger Feeding ช้าเกินไป และจบมื้อนั้นโดยการป้อนด้วยแก้วหรือขวด)

จะรักษาและเพิ่มปริมาณน้ำนมได้อย่างไร

บีบนมออกให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อยที่สุดวันละ 8 ครั้ง ใช้ปั๊มคุณภาพดีปั๊มทีเดียวพร้อมกันทั้งสองข้าง การบีบเต้านมระหว่างปั๊มจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปั๊มและช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนม (อาจต้องใช้มือเพิ่มอีกข้างหนึ่ง แต่แม่อาจตั้งปั๊มให้ไม่ต้องใช้มือถืออุปกรณ์ระหว่างการปั๊มเพื่อจะได้ใช้มือที่ว่างอยู่บีบเต้านมได้). ถ้าทารกไม่ยอมดูดนมภายในวันที่ 4 หรือ 5 ให้รับประทาน Fenugreek และ Blessed Thistle เพื่อเพิ่มน้ำนม การใช้ยา Domperidone ก็อาจช่วยได้ ถ้าจำเป็นต้องใช้ Nipple Shield อย่าเพิ่งเริ่มใช้อย่างน้อยก็จนกว่าจะมีปริมาณน้ำนมมากพอแล้ว (อย่างน้อยที่สุดก็ 2 สัปดาห์หลังคลอด) และควรขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญก่อน

อย่าเพิ่งท้อ ถึงแม้ว่าจะมีน้ำนมไม่มากพอทั้งหมดเท่าที่ทารกต้องการ ทารกส่วนมากก็ยังยอมดูดนมแม่อยู่ดี ให้ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ อย่าพยายามแก้ไขด้วยตัวเองคนเดียว

--------------------------------------------------------------------------------

แปลจาก Handout #26. When The Baby Refuses to Latch On. January 2005 Written by Jack Newman, MD, FRCPC. © 2005 โดย แม่ต่าย

บทความนี้ แม่ต่าย อาสาแปลให้โดยมิได้ร้องขอ หากคุณผู้อ่านทุกท่านอ่านบทความนี้แล้วรู้สึกว่าได้ประโยชน์ ขอความกรุณาส่งคำขอบคุณสั้นๆ ให้ผู้แปลบ้าง เราเชื่อว่าน่าจะเป็นการตอบแทนซึ่งทำให้ผู้รับอิ่มใจไม่น้อยค่ะ

FINANCE

น้ำหนักตัวเพิ่มช้า

น้ำหนักตัวเพิ่มช้า

บทนำ

บางครั้งทารกที่ดูดนมจากอกแม่เพียงอย่างเดียวและน้ำหนักเพิ่มได้ดีในช่วงเดือนแรกๆ เริ่มจะน้ำหนักเพิ่มขึ้นไม่มากหลังจาก 2-4 เดือน นี่อาจเป็นเรื่องปกติ เพราะทารกที่กินนมแม่จะไม่โตตามกราฟแสดงการเจริญเติบโตของเด็กกินนมผสม มันอาจดูเหมือนทารกที่กินนมแม่โตช้าเกินไป แต่ความเป็นจริงคือ ทารกที่กินนมผสมโตเร็วเกินไปต่างหาก การให้ลูกดูดนมจากอกแม่ คือวิธีให้อาหารแก่ทารกและเด็กอ่อนซึ่งเป็นวิธีปกติ เป็นไปตามธรรมชาติและความเหมาะสมทางกายภาพ การใช้ทารกที่กินนมผสมเป็นแม่แบบของความปกติเป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผล และจะยังนำไปสู่ความเข้าใจผิดในการแนะนำคุณแม่เกี่ยวกับการให้อาหารและการเจริญเติบโตของทารกอีกด้วย ในบางกรณี ความเจ็บป่วยอาจจะทำให้ทารกน้ำหนักเพิ่มขึ้นช้ากว่าที่ควรจะเป็น แต่การให้ทารกกินนมผสมเพิ่มเติมจากการให้กินนมแม่ไม่ได้ช่วยให้เขาหายป่วย และทารกอาจจะสูญเสียข้อดีทั้งหลายที่จะได้จากการดูดนมจากอกแม่เพียงอย่างเดียวอีกด้วย คุณแม่ควรจะดูออกว่าทารกได้รับนมเพียงพอหรือไม่ (ดูข้างล่าง) ถ้าทารกได้รับนมไม่พอ ส่วนใหญ่ไม่ใช่เพราะเขาไม่สบาย แต่มักจะเกิดจากนมแม่มีปริมาณลดลง สาเหตุที่พบบ่อยที่สุด เวลาที่ทารกน้ำหนักตัวเพิ่มช้ามากจนผิดปกติหลังจาก 2-3 สัปดาห์หรือ 2-3 เดือนแรก คือ น้ำนมแม่มีปริมาณลดลง

ทำไมน้ำนมจึงมีปริมาณลดลงได้

1. คุณแม่อาจอยู่ระหว่างกินยาคุมกำเนิด ถ้าคุณแม่กินยาคุมกำเนิด ให้หยุดกิน นอกเหนือจากการกินยาคุมกำเนิด ยังมีวิธีการอื่นที่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้
2. คุณแม่กำลังตั้งครรภ์
3. คุณแม่พยายามยืดช่วงเวลาระหว่างการให้นมแต่ละครั้งให้ห่างออกไป หรือพยายามจะ “หัด” ลูกให้นอนหลับตลอดคืน ถ้านี่เป็นสาเหตุ คุณแม่ควรให้ทารกกินนมเมื่อเขาหิว หรือเมื่อเขาเริ่มดูดนิ้วมือตัวเอง
4. คุณแม่ใช้ขวดนมบ่อยขึ้น แม้กระทั่งตอนที่ยังมีน้ำนมมากอยู่ การใช้ขวดบ่อยๆ ก็จะทำให้ทารกไม่งับหัวนมให้สนิทดีเวลาที่เขาคาดหวังว่าน้ำนมจะไหลเร็ว ถึงแม้คุณแม่จะให้กินนมขวดที่ใส่นมแม่เพียงอย่างเดียวก็ตาม เมื่อน้ำนมไหลช้าลงทารกจะผละออกจากอกแม่ ทำให้เขาใช้เวลาอยู่ที่อกแม่น้อยลง และปริมาณน้ำนมก็จะยิ่งลดลงไปอีก
5. บางครั้งอาการ “ช็อค” ทางอารมณ์ ก็จะทำให้ปริมาณน้ำนมลดลงได้เหมือนกัน
6. บางครั้งการป่วยก็อาจทำให้น้ำนมลดลง โดยเฉพาะโรคที่ทำให้เกิดอาการไข้ รวมทั้งโรคติดเชื้อที่หัวนม แต่โชคดีที่การเจ็บป่วยที่เกิดกับคุณแม่ส่วนใหญ่มักจะไม่ทำให้ปริมาณน้ำนมลดลง
7. คุณแม่อาจจะทำงานมากเกินไป คุณไม่จำเป็นต้องเป็นยอดคุณแม่ ให้คนอื่นช่วยทำงานบ้าน พยายามนอนหลับพักผ่อนเวลาที่ลูกหลับ และให้ทารกดูดนมตอนที่คุณแม่หลับ
8. ยาบางชนิดอาจทำให้น้ำนมลดลง เช่น ยาแก้แพ้บางชนิด (เช่น เบ็นดรีล) ยาลดน้ำมูกบางชนิด (เช่น ซูดาเฟ็ด)
9. คุณแม่ให้ทารกกินนมแค่ข้างเดียวในการกินนมแต่ละครั้ง เพราะอยากให้ทารกได้รับนมส่วนหลัง (hindmilk) ซึ่งมีไขมันสูง แต่อย่าลืมว่าถ้าทารกดูดนมไม่ถูกวิธี เขาก็จะไม่ได้กินนมเลย และถ้าเขาไม่ได้นมเลย เขาก็จะไม่มีทางได้นมส่วนหลังเช่นกัน ควรให้ทารกกินนมให้หมดข้างหนึ่งก่อน และถ้าเขายังต้องการกินต่อก็ควรให้เขากินอีกข้างหนึ่งต่อด้วย
10. อาจเกิดจากหลายสาเหตุที่กล่าวมาข้างต้นร่วมกัน
11. บางครั้งน้ำนมจะลดลงโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน (โดยเฉพาะช่วงประมาณ 3 เดือน) แต่โดยทั่วไปแล้วคุณจะน่าจะสามารถหาสาเหตุได้จากย่อหน้าถัดไป

อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้น้ำนมลดปริมาณลง ต้องมีคำขยายความเพิ่มเติม ในช่วงสัปดาห์แรกๆ ทารกมักจะผล็อยหลับเวลาที่น้ำนมไหลช้าลง (การที่น้ำนมไหลช้ามักจะเกิดเร็วขึ้นถ้าทารกไม่สามารถงับหัวนมได้สนิทดี เพราะทารกจะได้กินน้ำนมจากกลไกการหลั่งน้ำนม หรือการที่น้ำนมพุ่งออกมาเองเท่านั้น : Milk Ejection Reflex หรือ Let down reflex) ทารกจะดูดนมสลับกับนอนหลับ โดยไม่ได้รับน้ำนมเยอะๆ ในช่วงนี้ แต่คุณแม่อาจจะยังมีกลไกการหลั่งน้ำนม (หรือการที่น้ำนมพุ่งออกมาเอง) เป็นครั้งคราว ซึ่งจะทำให้ทารกได้กินนมมากขึ้น ตอนที่คุณแม่มีน้ำนมมาก น้ำหนักตัวของทารกจะเพิ่มขึ้นตามปกติ แต่เขามักจะใช้เวลาอยู่ที่อกแม่นานทั้งๆ ที่คุณแม่มีน้ำนมมาก แต่เมื่ออายุได้ประมาณ 6-8 สัปดาห์หรือน้อยกว่านั้น ทารกหลายๆ คนก็เริ่มจะผละออกจากอกแม่เวลาที่น้ำนมไหลช้าลง โดยมากหลังจากเริ่มกินนมได้ไม่กี่นาที ลักษณะเช่นนี้มักจะเกิดในทารกที่เริ่มกินนมจากขวดตั้งแต่เนิ่นๆ แต่ก็อาจเกิดในทารกที่ไม่ได้กินนมจากขวดเลยได้ด้วยเช่นกัน ส่วนมากคุณแม่ก็มักจะเปลี่ยนให้ทารกไปดูดนมจากอกอีกข้างหนึ่ง แต่ทารกก็จะผละจากอกแม่อีกเหมือนเดิม เขาอาจจะยังรู้สึกหิวอยู่ แต่ก็จะไม่ยอมกินนมจากเต้านมและดูดนิ้วมือตัวเองแทน แล้วเขาก็จะไม่ได้น้ำนมที่หลั่งออกมาเองซึ่งเขาควรจะได้กินถ้าเขายังคงอยู่ที่หน้าอกแม่ด้วย ดังนั้นทารกจะกินนมได้น้อยลง และปริมาณน้ำนมของคุณแม่ก็จะลดลงเพราะทารกดูดน้อยลง แล้วน้ำนมก็จะไหลช้าลงแม้แต่ในช่วงแรกของการกินนม (เพราะมีน้ำนมอยู่น้อย) นี่คงพอจะทำให้คุณแม่เข้าใจได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่บางทีสิ่งที่เกิดขึ้นก็อาจจะไม่ได้เป็นแบบที่ว่านี้เสมอไป ทารกหลายคนมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้ดีทั้งที่ใช้เวลาอยู่ที่หน้าอกแม่ไม่นาน พวกเขาอาจจะผละออกจากอกแม่และดูดนิ้วตัวเองเพราะเขายังอยากดูดอยู่ แต่ถ้าน้ำหนักตัวของเขาเพิ่มขึ้นอย่างเหมาะสม คุณแม่ก็ไม่จำเป็นต้องวิตกกังวล วิธีป้องกันในกรณีสุดท้ายนี้ คือ ทำให้ทารกงับหัวนมได้สนิทดีตั้งแต่ครั้งแรกๆ ที่ให้เขากินนม แต่บางทีคุณแม่หลายๆ คนก็ได้รับการบอกเล่าว่าทารกงับหัวนมได้สนิทดี ทั้งที่ไม่ใช่ การงับหัวนมให้สนิทดีขึ้นช่วยแก้ปัญหาได้ แม้กระทั่งหลังจากเวลาผ่านไปนานแล้ว นอกจากนี้การบีบหน้าอกมักจะทำให้ทารกยังคงได้กินนมต่อไป (ดู วิธีการในการเพิ่มปริมาณการกินนมของทารก)บางครั้งยาดอมเพอริโดนจะทำให้น้ำนมเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ห้ามใช้ยานี้ถ้าคุณกำลังตั้งครรภ์ (ดูแผ่นพับเรื่องยาดอมเพอริโดน)



คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าทารกได้กินนมเวลาที่เขาอยู่ที่อกแม่

ในขณะที่เด็กทารกกินนมได้ (ไม่ใช่แค่เพราะเขามีเต้านมอยู่ในปากและทำท่าดูด) คุณจะต้องเห็นว่าหลังจากที่เขาอ้าปากและดูดนมได้ปริมาณมากพอ จะต้องมีการหยุดเคลื่อนไหวตรงปลายคางก่อนที่เขาจะปิดปาก ดังนั้นการดูดนม 1 ครั้ง คือ อ้าปากกว้าง --> หยุด --> ปิดปาก ถ้าคุณต้องการจะสาธิตการดูดแบบนี้ด้วยตัวเอง ให้ลองเอานิ้วชี้ใส่ปากตัวเอง และดูดนิ้วเหมือนกับดูดน้ำจากหลอดกาแฟ ขณะที่คุณดูดเข้าไป คางของคุณจะลดต่ำลงและค้างอยู่ในตำแหน่งนั้นไปเรื่อยๆ เมื่อคุณหยุดดูด คางของคุณจะกลับมาที่ตำแหน่งเดิม ถ้าคุณสังเกตเห็นการหยุดเคลื่อนไหวแบบนี้ที่บริเวณคางของลูก นั่นหมายความว่า ลูกของคุณดูดนมได้จนเต็มปากของเขาในการดูดแต่ละครั้ง

ยิ่งมีการหยุดเคลื่อนไหวนานเท่าไร ทารกก็ยิ่งดูดนมได้มากเท่านั้น เมื่อคุณเข้าใจการดูดนมที่มีการหยุดเคลื่อนไหวของคางแบบที่ว่านี้แล้ว คุณก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับคำแนะนำไร้สาระต่างๆ ที่บอกต่อๆ กันมาเกี่ยวกับการให้ลูกกินนมแม่ เช่น ต้องให้ลูกดูดนมจากเต้านมข้างละ 20 นาที ทารกที่ดูดนมในลักษณะนี้ (มีการหยุดเคลื่อนไหวคาง) อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 20 นาที อาจจะไม่ยอมดูดนมอีกข้างหนึ่งเลยด้วยซ้ำ ในขณะที่เด็กทารกที่อมหรือตอดหัวนมอยู่ 20 ชั่วโมง (โดยไม่ได้กินนม) ก็จะยังรู้สึกหิวอยู่หลังจากแม่ให้นมเสร็จแล้ว



คุณสามารถดูวิดีโอที่ เว็บไซต์ ซึ่งมีวิดีโอแสดงการงับหัวนมอย่างถูกวิธี วิธีดูว่าทารกได้กินนมหรือไม่ และวิธีการบีบหน้าอก



แผ่นพับที่ 25 - น้ำหนักตัวเพิ่มช้าลงหลังจาก 2-3 เดือนแรก (ตุลาคม 2549)

แปลและเรียบเรียงโดย นิจวรรณ ตั้งวิรุฬห์

จาก Handout #25: Slow Weight Gain After the First Few Months. January 2005

Written by Jack Newman, MD, FRCPC. © 2005



แผ่นพับนี้สามารถคัดลอกและนำไปแจกจ่ายได้โดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากผู้เขียน/ผู้แปล โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องไม่นำไปใช้ในทางที่จะละเมิดหลักเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลกเกี่ยวกับการทำการตลาดของนมผสมและสารทดแทนนมแม่

บทความนี้แปลโดยคุณนิจวรรณ ตั้งวิรุฬห์ ซึ่งสละเวลาส่วนตัวทำให้โดยมิได้รับค่าตอบแทนใดๆ หากคุณผู้อ่านทุกท่านอ่านบทความนี้แล้วรู้สึกว่าได้ประโยชน์ ขอความกรุณาส่งคำขอบคุณสั้นๆ ให้ผู้แปลบ้าง เราเชื่อว่าน่าจะเป็นการตอบแทนซึ่งทำให้ผู้รับอิ่มใจไม่น้อยค่ะ

นมแม่ ต้องรู้

ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

โดย แพทย์หญิงสุวิมล ชีวมงคล

( กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก)


ข้อดีของ การเลี้ยงลูกด้วย นมแม่

การเลี้ยงลูกด้วย นมแม่ ไม่ใช่เป็นเพียงการให้อาหารเพื่อให้ลูกอิ่ม และ ช่วยให้ลูกเติบโตเท่านั้น แต่ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เป็นเรื่องของกระบวนการส่งเสริมพัฒนาการ และ การเจริญเติบโตของเด็กอย่างมีคุณภาพ ซึ่งจะช่วยเอื้อโอกาสให้เด็กกลายเป็นผู้มีบุคลิกภาพที่ดี ความเป็นผู้มีจริยธรรม อดทน อดกลั้น และ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น อันเนื่องมาจาก



๑. สารอาหารใน นมแม่ ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอย่างเหมาะสม ตามอายุลูก ซึ่งจะช่วยให้ลูกฉลาด และ แข็งแรง สารอาหารสำคัญ คือ ไขมันใน นมแม่ ที่จะไปห่อหุ้มเส้นใยประสาทในสมองเด็กที่กำลังเพิ่มการเชื่อมโยงการทำงานอย่างรวดเร็ว เพื่อให้การทำงานของสมองเด็กสามารถตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่างๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โปรตีนใน นมแม่ ที่จะช่วยลดโอกาสการเป็นโรคภูมิแพ้ในเด็ก สารต้านการอักเสบใน นมแม่ ซึ่งจะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อ และไม่สบายของเด็ก ทำให้เด็กไม่ต้องเสียโอกาสของการพัฒนาความสามารถไปกับความเจ็บป่วย ซึ่งสารอาหารดังกล่าวทั้งหมด ไม่สามารถจะถูกทดแทนได้ด้วย นมผสม



๒. สัญชาตญาณความเป็นแม่ที่เพิ่มขึ้นจากการเพิ่มระดับของฮอร์โมนอ็อกซิโตซิน ( Oxytocin ) ในตัวแม่ขณะที่ลูกกำลังดูดนมจากอกแม่ที่จะช่วยให้แม่เป็นผู้มีจิตใจอ่อนโยน เปี่ยมด้วยความรักและเมตตา อันเนื่องมาจากความรู้สึกสงบ เป็นสุข เปี่ยมด้วยความรัก ที่แม่มีต่อลูก ที่เกิดขึ้นมากกว่าปกติในตัวแม่ขณะลูกกำลังดูด นมแม่ ซึ่งเด็กจะรู้สึกได้ถึงความรู้สึกอ่อนโยน ทำให้เด็กอารมณ์ดี และ เป็นสุข



๓. กระบวนการโอบอุ้ม และ โต้ตอบ ระหว่างแม่และลูก ขณะลูกดูดนมจากอกแม่ ที่จะปูพื้นฐานสำคัญของกระบวนการเรียนรู้และตอบสนองต่อสิ่งเร้าอย่างเหมาะสม ในเด็ก เพราะขณะที่ลูกดูดนมจากอกแม่ ลูกจะสบตาแม่ เป็นการสื่อสารสำคัญที่ถ่ายทอดผ่านการมองเห็นในระยะที่เหมาะสม เพราะช่วงแรกเกิด การมองเห็นของเด็ก จะเหมือนคนสายตาสั้น ซึ่งจะค่อยๆ เปลี่ยนระดับการมองเห็นไปเป็นระดับปกติเมื่อเด็กอายุ ๑ ปี นอกจากนี้ ขณะที่ลูกกำลังดูด นมแม่ มือลูกจะสัมผัสกับผิวแม่ จมูกลูกจะได้กลิ่นกายแม่ ลิ้นของลูกจะได้รับรส น้ำนมแม่ ร่วมกับความรู้สึกอิ่ม สบาย และ ผ่อนคลาย ขณะที่หูของลูกจะได้ยินเสียงที่กำลังเกิดขึ้นรอบตัว ดังนั้น ประสาทสัมผัสทุกส่วนของเด็กจะถูกกระตุ้นให้เกิดการทำงาน บนความรู้สึกดีๆที่แม่ถ่ายทอดสู่ลูก อันจะเป็นพื้นฐานสำคัญ ของการสังเกต และ โต้ตอบอย่างเหมาะสมของเด็ก



ข้อดีของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ไม่ได้หยุดอยู่ที่ตัวเด็ก ที่ช่วยให้เด็ก ฉลาด แข็งแรง ลดโอกาสการเป็นโรค และ มีความพร้อมต่อการพัฒนาเป็นผู้มีจริยธรรมที่ดี จิตใจอ่อนโยน และ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่นเท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรง ถึงแม่ ครอบครัว สังคม และ ประเทศ กล่าวคือ แม่ จะลดโอกาสการเกิดมะเร็งเต้านม ครอบครัวจะมีความสุขอันเนื่องมาจากการเป็นเด็กแข็งแรง มีพัฒนาการที่ดี ไม่ต้องเปลืองเงินไปกับค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลลูก และ การซื้อนมผสม สังคม จะเปี่ยมไปด้วยคนที่มีจิตใจดี และ มีความสามารถเต็มตามศักยภาพ ในขณะที่ประเทศมั่นคง เพราะสังคมดี และ เศรษฐกิจดี



ข้อควรรู้เมื่อเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

๑. การเติบโตของเด็กกินนมแม่ จะแตกต่างจากเด็กกินนมผสม ทั้งนี้ เด็กที่ได้กินนมแม่อย่างเหมาะสม จะเติบโตเร็วในช่วงแรก โดยเฉลี่ย ประมาณ ๖ เดือน จากนั้น การเติบโตของเด็กกินนมแม่หลายคน จะช้ากว่า เด็กที่กินนมผสม อย่างไรก็ตาม ขณะที่กำลังเขียนข้อมูลนี้ กำลังอยู่ในระหว่างที่องค์การอนามัยโลก และ บุคลากรทางสาธารณสุขในประเทศไทยหลายท่านกำลังดำเนินการรวบรวมข้อมูลเพื่อนำมาทำแผนผังการเติบโตของเด็กกินนมแม่ (Growth Chart) ซึ่งยังไม่เคยมีมาก่อน (แผนผังการเติบโตของเด็กที่ใช้ในปัจจุบัน เป็นแผนผังการเติบโตของเด็กที่กินนมมสม)

๒. แม่ทุกคนมีปริมานน้ำนมมากพอที่จะเลี้ยงลูก อย่ากังวลหากแม่บีบน้ำนมแม่ไม่ออกใน ๒ – ๓ วันแรกหลังคลอด เพราะในระยะนี้ น้ำนมแม่ยังมีปริมาณมากนัก แต่จะมีมากพอสำหรับลูก ขอเพียงแค่ คุณแม่ตั้งใจจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เชื่อมั่นว่าตนเองต้องมีน้ำนมพอ ทำตัวเองให้ผ่อนคลายไม่เครียด พยายามอดทนต่อความเหนื่อยที่ให้ลูกดูดนมทุก ๒- ๓ ชั่วโมง อดทนต่ออาการเจ็บหรือเสียวมดลูกขณะลูกกำลังดูดนม เพราะ ฮอร์โมนอ็อกซิโตซิน ที่ช่วยเพิ่มสัญชาตญานความเป็นแม่ จะส่งผลทำให้มดลูกหดตัวเช่นกัน

๓. เทคนิคสำคัญสู่ความสำเร็จของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ คือให้ลูก ดูดเร็ว โดยให้ลูกดูดทันทีในห้องคลอด ดูดบ่อย ทุก ๒ – ๓ ชั่วโมง ดูดถูกวิธี คือปากลูกงับให้ถึงลานนม สังเกตได้จากปากลูกจะบาน คางลูกแนบหน้าอกแม่ ดั้งจมูกชิด หรือเกือบชิดหน้าอกแม่

๔. เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว ๖ เดือนแรก ไม่ต้องกินน้ำ หรืออาหารอื่น เป็นข้อแนะนำของ องค์การอนามัยโลก ร่วมกับ องค์การยูนิเซฟ ซึ่งได้จากการรวบรวมผลวิจัยจากประเทศต่างๆ และสรุปเป็นข้อแนะนำในคู่มือการให้อาหารทารก ( Global Strategy of Infant and Young Child Feeding ) เมื่อปี ๒๕๔๖ ว่า ทารกแรกเกิดทุกคนควรได้กินนมแม่อย่างเดียวไปจนอายุครบ ๖ เดือน แล้ว จึงให้นมแม่ร่วมกับน้ำ และอาหารอื่นที่เหมาะสมตามวัย จนลูกอายุ ๒ ปี หรือ นานกว่านั้น โดยอาหารเสริมที่จัดให้ลูกควรเป็นอาหารที่ผลิตเองในครัวเรีอน สำหรับการให้นมแม่โดยไม่ให้น้ำ ซึ่งขัดแย้งกับวิธีปฏิบัติของแม่ส่วนใหญ่ในประเทศไทยนั้น เหตุผลสำคัญที่ไม่จำเป็นต้องให้ลูกกินน้ำ คือ ในนมแม่มีน้ำเป็นจำนวนมากพอที่เด็กต้องการ และ การให้เด็กกินน้ำหลังจากกินนมแม่จะลดสารต้านการอักเสบที่มีในนมแม่ เพราะน้ำจะไปล้างสารต้านการอักเสบที่ลูกได้รับจากการกินนมแม่ที่เคลือบในปากลูกหลังจากลูกกินนมแม่

๕. ไม่จำเป็นต้องเช็ดถู ทำความสะอาดหัวนมก่อนให้ลูกดูดนมแม่ แต่ ควรจะดูว่าหัวนมตนเองมีขนาดสั้น ยาว หรือใหญ่กว่าปกติ ขณะตั้งครรภ์ เพราะหัวนมที่สั้น ยาว หรือใหญ่กว่าปกติอาจทำให้ลูกดูดนมแม่ได้ไม่ค่อยถนัด ทั้งนี้หากแม่มีความยาวหัวนมสั้นกว่าปกติ สามารแก้ไขได้ขณะตั้งครรภ์ เพื่อให้ลูกดูดนมแม่ได้ง่ายหลังคลอด ( ความยาวหัวนมปกติ คือ ๐.๕ – ๑ เซนติเมตร )

๖. แม่ที่ติดเชื้อ HIV ไม่ควรให้ลูกกินนมแม่ เพื่อลดโอกาสการผ่านเชื้อ HIV จากแม่สู่ลูก

๗. การใช้มือบีบน้ำนมเก็บไว้ให้ลูก ดีกว่าใช้เครื่องปั๊มนม เพราะนอกจากจะสะดวก และ ประหยัดแล้ว การบีบน้ำนมด้วยมือ จะทำให้ได้ปริมาณน้ำนมที่มากกว่าการใช้เครื่องปั๊ม

๘. โดยทั่วไป แม่ที่ให้ลูกดูดนมแม่ จะมีรูปร่าง และ น้ำหนักกลับมาเป็นปกติเหมือนตอนก่อนท้อง เมื่อลูกอายุ ประมาณ ๖ เดือน ดังนั้น แม่ไม่จำเป็นต้องลดปริมาณอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนัก แต่หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่จะทำให้แม่อ้วนเท่านั้น



ข้อควรระวังเมื่อเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

๑. การเลี้ยงลูกไม่ถูกวิธี เพราะจำกัดการโต้ตอบกับเด็กไว้เพียงการอุ้มลูกมาดูดนมแม่เท่านั้น คุณแม่มือใหม่หลายท่าน จะมีความรู้สึกเป็นห่วงกลัวลูกไม่อิ่ม ดังนั้น เมื่อลูกตื่น หรือ ร้อง จะคอยเอาลูกมาอุ้ม และ ให้กินนมแม่โดยลืมปล่อยลูกวางไว้กับเบาะเพื่อให้ฝึกคืบ หรือพลิกคว่ำพลิกหงาย รวมถึงไม่ได้ฝึกให้ลูกคว้าของ จับของ หรือ สิ่งต่างๆรอบตัว ดังนั้น ความฉลาดที่ลูกได้มาจากพ่อแม่ และ ได้เสริมจากการการกินนมแม่ เมื่อไม่ได้รับการฝึกฝน ก็จะไม่ได้รับการพัฒนาเต็มศักยภาพตามที่ควรจะเป็น ทำให้ดูเหมือนเด็กกินนมแม่บางคน พัฒนาการช้ากว่าปกติ

๒. หัวนมแตก ขณะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพราะ ท่าอุ้มไม่ถูกวิธีขณะให้ลูกดูดนม คุณแม่ที่ให้ลูกดูดนมแม่ แล้วพบว่า ต่อมา เกิดมีแผลที่หัวนม ให้ระวังว่าจะเกิดจากการให้ลูดดูดนมโดยปากลูกงับไม่ถึงลานนม ทำให้เกิดการเสียดสีของเหงือกลูก กับผิวหนังที่นมแม่ขณะที่ลูกดูดนมแม่ วิธีแก้ คือ ประคองคอลูก แล้วส่งศีรษะลูกมาให้ชิดกับหน้าอกแม่เพิ่มขึ้นเพื่อให้ปากลูกงับลานนม จะช่วยลดโอกาสการมีแผลเพิ่มที่หัวนม สำหรับผิวหนังแม่ที่เป็นแผลไปแล้วนั้น รักษาโดยเอาน้ำนมแม่มาป้ายที่แผล แล้วผึ่งให้แห้ง ทำซ้ำได้เป็นระยะ จนกว่าแผลจะหาย ไม่จำเป็นต้องใช้ยาทา หรือ ยากินแก้อักเสบ



สิ่งที่ควรปฏิบัติในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

๑. การดูแลตัวเองของแม่ ทั้ง อาหารกาย อาหารใจ การดูแลตัวเองของแม่ขณะให้นมลูกเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะ ความเหนื่อย ความหิว และ ความเครียด จะทำให้การผลิตน้ำนมลดลง ดังนั้น ควรกินอาหารให้ครบ ๕ หมู่ โดยมีปริมาณอาหารที่กินแต่ละมื้อ มากกว่าปริมาณอาหารที่แม่กินก่อนท้องประมาณ ๑ เท่าครึ่ง ในกรณีที่แม่น้ำหนักตัวปกติตอนก่อนท้อง (ไม่อ้วน หรือ ผอมเกินไป ) ควรกินน้ำ โดยเฉพาะน้ำอุ่นเป็นระยะ เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำนม โดยอาจจะดื่มน้ำ ๑ ถ้วย ก่อนมื้อที่ลูกจะดูดนมแม่ หรือ ก่อนแม่บีบน้ำนม พยายามทำจิตใจให้ผ่อนคลายไม่เครียด ด้วยวิธีที่ตนเองถนัด เช่น ฟังเพลง เป็นต้น เพื่อช่วยให้การผลิตน้ำนมแม่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

๒. บีบน้ำนมแม่เก็บไว้ ทุกครั้งที่หน้าอกคัด ในกรณีที่ลูกไม่สามารถดูดนมแม่ได้ เพื่อช่วยให้เกิดการผลิตน้ำนมแม่อย่างต่อเนื่อง ตลอดเวลา

๓. ฝึกการให้ลูกดูดนม ทั้งท่านั่ง และ ท่านอน เพื่อช่วยให้แม่ไม่ต้องทรมานกับการนั่งให้นมลูกในช่วงกลางคืน ซึ่งเป็นเวลาที่คุณแม่เองก็ง่วงเช่นกัน

๔. เอื้อโอกาสสามีเข้ามามีส่วนร่วมในการเลี้ยงลูก คุณแม่หลังคลอดส่วนใหญ่ มีแนวโน้มจะกอดลูกไว้กับตัวอยู่แล้ว ดังนั้น ในกลุ่ม แม่ที่ให้ลูกกินนมแม่ จึงมีความพร้อมจะอุ้มลูกไว้กับอกตัวเองนานกว่าปกติ และ โดยธรรมชาติของเด็กที่ดูดนมแม่ระยะแรก จะนอนหลับทันทีเมื่อกินอิ่มและ ตื่นบ่อยเพราะหิว จึงควรเปิดโอกาสให้คุณพ่อเข้ามามีส่วนร่วมในการเลี้ยงลูกตั้งแต่แรก ด้วยการสัมผัสลูก พูดคุยกับลูก และ เล่นกับลูก เวลาที่ลูกตื่น และ รอที่จะกินมื้อใหม่ นอกจากนี้ การที่คุณพ่อเข้ามาช่วยดูแลแม่ เช่น นวดหลัง นวดคอ และ นวดไหล่แม่ เป็นต้น จะช่วยสร้างความผ่อนคลายในตัวแม่ และ พร้อมที่จะอุ้มลูกให้ดูดนมแม่อย่างไม่ย่อท้อ

ที่มา : www.nommae.org